๑๑.กัณฑ์มหาราช ๖๙ พระคาถา
- รายละเอียด
- หมวด: เทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 31 สิงหาคม 2556 23:21
- เขียนโดย manop
- ฮิต: 3839
กัณฑ์มหาราช
สายัณห์โพล้เพล้เวลา ตาชีแสวงหา
พฤกษาพอพึ่งพิงนอน
เห็นต้นนิโครธาทร รากย้อยยานหย่อน
หยุดยังปฐพีพิศาล
ปางโป่งโพผ่อนพอการ กางกั้นภัยพาล
พยัคฆ์สัตว์ร้ายราวี
เฒ่าเอาเครือเถาวัลลี ผูกสองกุมารี
กับกอพฤกษาสุมทุม
แล้วจับไม้เท้าถุงกุม ปีนป่ายขึ้นปุ่ม
ผ่อนนิโครธาอาศัย
ถุงเสบียงเหวี่ยงวางข้างใน กระแอมเสียงใหญ่
ว่าเหวยกัณหาชาลี
เอ็งนอนที่นั่นจงดี อย่ากลัวเสือสีห์
สิงห์สัตว์ไม่พบหลบหลัง
คาถานี้ดีขลัง สัตว์ป่าการัง
กำบังมิให้เห็นตัว
กลกันกั้นไว้เป็นรั้ว นอนเถิดอย่ากลัว
แก้จนมาได้หลายครา
เฒ่ายกลูกประคำภาวนา ไม่รู้คาถา
นับแต่หนึ่งสองสามไป
กว่าจะครบร้อยแปดตามนัย แล้วเอากายใส่
ปิดค่ชภ่ดเข้ากับกร
ถุงก็ตากลากวางต่างหมอน ไม้เท้าเฒ่าคอน
น้ำเต้าขวางขัดปากประตู
อำนาจเหนื่อยมาวาวู ทอดนอนกรนฟู่
แต่พลบพอเลิกจุสมัย
ปางสองสมรนอนใน เทวท้าวพฤกษ์ไพร
สององค์เธอทรงเมตตา
เอาเพศเหมือนเวสสันตรา ชนกบิดา
ห่อเกล้าประดับสรรพทรง
อีกเทวธิดาโฉมยง สงสารสององค์
ก็ทรงวิตกปรานี
นิรมิตเป็นดาบสินี เหมือนแม่มัทรี
สองไคลไต่เต้าตามกัน
มายกองค์แก้เถาวัลย์ ซึ่งพราหมณ์ผูกพัน
กรพระพี่น้องสองรา
พลางทรงกรรแสงโศกา ว่าเจ้าแม่อา
มามีความเข็ญเป็นไฉน
วรกายล้วนเลือดหลามไหล โอ้สองสายใจ
อกแม่เพียงจักแตกตาย
มารึแม่จักบีบนวดให้ บรรเทาเส้นสาย
เทพไทประคองสององค์
อุ้มแอบแนบพระทรวงทรง ว่าเจ้าแม่จง
เสวยนมเสียเถิดกัณหา
แม่นี้ไม่รู้เลยหนา ว่าเจ้าสองมา
ได้ความลำบากกายี
เทพท้าวเธอจึงขัดสี พักตร์ผ่องราคี
เสร็จทรงชฎาอาภรณ์
แล้วปลอบว่าทรามดวงสมร เจ้าโหยหิวอ่อน
กำลังด้วยเดินดงดาน
เชิญเสวยข้าวปลาอาหาร แม่จักพยาบาล
แล้วปล่อยให้สองภักษา
อิ่มหนำทิพย์รสโอชา เสร็จแล้วเทวา
นิรมิตแท่นที่บรรทม
ให้สองโฉมงามทรามชม เจ้าอย่าปรารมภ์
นอนเถิดเป็นผาสุกใจ
อย่ากลัวโพยพราหมณ์จังไร จักทำใดใคร
สองเจ้าอย่าเศร้าหัทยัง
สองศรีพี่น้องสดับฟัง เทวตรัสวัจนัง
คิดว่าบิดามารดา
หลับสนิทด้วยจิตมนัสสา สองเทพเทวา
อภิบาลอยู่จนจุสมัย
แล้วเอาเครือเถาวัลไลย ผูกพันธนังไว้
มิให้แผกผิดมือพราหมณ์
ครั้นรุ่งอรุณส่อง นกไก่ร้องขันประจำยาม
ธชีชูชกพราหมณ์ ตื่นขึ้นคิดบิดครวญคราง
ว่าแหมรุ่งเจียวหวา เฒ่าคร่าโครงลงแต่ปาง
เอาย่ามไม้เท้าวาง ลงมาก่อนหย่อนตัวตาม
กอดกายกุมไม่ถนัด เฒ่าตกพลัดลงบนหนาม
ลุกขึ้นหอบวู่วาม แกพิโรธโกรธใจเอง
จับย่ามตะพายบ่า สอดเกือกป่าเดินโทงเทง
แก้เชือกออกมิเกรง จูงสองกษัตริย์ลัดมรคา
หนีด่านนายพรานไพร ผู้อยู่ในประตูป่า
สั่นหัวกลัวฤทธิ์หมา พาหลีกเร่เว่หาทาง
สาธกหกสิบโยชน์ เทพป้องโปรดย่นย่อทาง
ธชีชูชกวาง มาถึงแพร่งแย่งตีนกา
แห่งหนึ่งไปกลึงค์ แห่งหนึ่งไปกรุงนัครา
เชตอุดรชมหา เฒ่าชราหยุดสงสัย
เทพเจ้าซึ่งรักษา สองพังงาจึงดลใจ
ให้เฒ่าคิดเฟือนไขว้ พาเจ้าไปเชตอุดร
วันเมื่อพระเจ้ากรุง สีพีราชนรินทร
จะได้พบสองบังอร หลานรักร่วมชีวาตมา
ท้าวประทมเหนือไสยาสน์ บัลลังก์อาสน์อันเลขา
ปิ่นเกล้าเจ้าโลกา ทรงสุบินดลวิญญาณ
เห็นชายหนึ่งถึงกลัว ถือดอกบัวสองตระการ
ถับถึงถวายบ่นาน ทั้งคู่ท้าวรับทัดทรง
เรณูฟุ้งเจือจบ กลิ่นตลบทั้งวรองค์
เสร็จตื่นประทมทรง พระดำริสุบินสาร
ชำระพระพักตร์ผ่อง เข้าสู่ห้องสรงสนาน
ทรงสุคันธโอฬาร อันพิจิตรเสาวคนธ์
ทรงผ้าโขมพัสตร์ กายเดียวรัตนกำพล
ครั้นเสร็จเสด็จดล ออกยังท้องพระโรงชัย
พร้อมด้วยมุขอำมาตย์ กระวีราชผู้น้อยใหญ่
ดำรัสตรัสถามไป แก่โหราพฤฒิพราหมณ์พงศ์
ว่าสมัยในเวลา ราตรีนี้แลเราทรง
สุบินจินตนาจง บรรยายให้ตามความฝัน
จึงหมู่พราหมณ์ทั้งหลาย ทำนายตามธรรมเนียมพลัน
ซึ่งท้าวนิรมิตฝัน ดังนั้นสุดดีอุดม
วันนี้พระองค์เจ้า จักได้ลาภพอพึงชม
วงศานิราศรมย์ จะมาสู่พึ่งบารมี
พระองค์ทรงสดับ วัจนาสรรพเธอยินดี
เสร็จเยี่ยมบัญชรศรี มุ่งพระเนตรทัศนานัย
ชูชกพาสองเจ้า ด้วยเทพท้าวเข้าดลใจ
ให้จงจรเข้าไป ยังนิเวศพระตำหนัก
ฝูงชนคนทั้งหลาย ก็คลับคล้ายใคร่รู้จัก
ลำลำจะถามทัก แล้วอัดอั้นให้ตันทรวง
ราชาสญชัยโย ส่วนสมเด็จพุทธิเจ้าหลวง
เห็นพราหมณ์พาสองดวง สมรมิ่งมาลนลาน
เมื่อท้าวเธอตรัสทรง ชมวรองค์สองกุมาร
จึงเอื้อนพระโองการ ตรัสว่าหาอำมาตย์เฮ้ย
เด็กน้อยหนุ่มเนื้องาม ตามหลังพราหมณ์มาโน่นเหวย
ยลรูปก็น่าเชย ชื่นภิรมย์ราวนัดดา
ม้ายแม้นชาลีราช อนงค์นาถเหมือนกัณหา
เร่งเร้าอำมาตยา ตำรวจในจงไปนำ
สองราชทารก ทั้งทลิทกมาสู่สำ-
นักเราจะถามคำ ให้ถ่องแท้แน่หัทยา
ตำรวจรับสั่งตรัส ตระบัดวิ่งรีบเร็วมา
ครั้นถึงเฒ่าชรา ว่าเหวยชีมีรับสั่ง
ให้หาพฤฒาท่าน สองกุมารเข้าไปยัง
นิเวศเวียงวัง เพื่อจะมีคดีถาม
ชูชกตกใจฉงน คิดอลวนวิ่งวู่วาม
โว้เว้ไม่ไปตาม เข้ากระชากลากมือมา
ถวายแต่สมเด็จเจ้า จอมกษัตริย์ตรัสปุจฉา
ว่าเหวยพราหมณ์ชรา เอ็งได้เด็กมาแต่ไหน
กี่วันจึงมาถึง เชตอุดรกรุงเวียงชัย
เอ็งเร่งให้การไป อย่าโป้ปดเล่าแถลงความ
ชูชกครั้นได้สดับ ก้มกราบรับโองการถาม
ระรัวกลัวเข็ดขาม พราหมณ์ทูลสนองพร้อมคดี
ว่าข้าชื่อชูชก ตกยากไร้คนอัปรีย์
เที่ยวป่าพนาศรี สิงขร วงหลงไปถึง
อาศรมนรินทร สโมสรเธอคำนึง
ศรัทธาท้าวรำพึง เพื่อจะให้ซึ่งบุตรทาน
จึงยกเอาสองเจ้า ให้ข้าเฒ่าพฤฒาจารย์
ว่าเป็นพระเจ้าหลาน จึงคมนาพามาถวาย
ข้าเฒ่าทูลตามสัจ สุจริตไม่อุบาย
ตั้งแต่รับประทานได้ สิบห้าวันถึงพารา
สญชัยไตรภูวนาถ ร้องตวาดว่าเฮ้ยฮ่า
อันเอ็งให้การมา ไม่เห็นสม อมสำนวน
ขึ้นชื่อว่าเวณี ในสงสารสัตว์ทั้งมวล
ลูกรักแล้วฤๅควร จะปลดปลิดให้เป็นทาน
ฤๅเอ็งคิดล่อลวง เอาด้วยคำอันอ่อนหวาน
ฤๅมีมนต์ดลพิสดาร ทำให้ท้าวเธอใหลหลง
แล้วขอเจ้าสองนี้ พระฤๅษีจึงปลดปลง
มิฉะนั้นดั้นเดินดง ไปพบพักตร์ลักล้วงมา
ปิยบุตรนี้สุดหวง ปิ้มประหนึ่งดวงนัยนา
ประหลาดหลากหนักหนา เอ็งนี้ว่าไม่เห็นจริง
เอ็งจักเอาอันใด มาอาศัยแอบอ้างอิง
จะให้เขาเห็นจริง ในถ้อยคำออเฒ่าพราหมณ์
ชูชกฟังตกใจ กรุงสญชัย ธ คุกคาม
เฉกาฉลาดความ ทูลยอเยินสรรเสริญคุณ
อันองค์เวสสันดร วรน้ำเนื้อพุทธากูล
บารมีท้าวเพิ่มพูน รักสัพพัญญุตญาณ์
พระทัยดั่งวาริน กระแสสินธุ์อันโอฬาร์
สรรพสัตว์มนัสสา ได้อาศัยใจชื่นบาน
ถ้ามิเช่นนั้นเล่า หฤทัยท้าวดังสุธาร
เป็นที่ประดิษฐาน ทุกอกสัตว์ก็สมปอง
ไม่มีผู้ใดเปรียบ เทียบเทียมท้าวเสมอสอง
มีแต่จะตริตรอง ทางจะทำซึ่งทานา
วันประสาทเจ้าชาลี ศรีศุภลักษณ์แก้วกัณหา
ให้ข้าพราหมณ์ภิกขา เกิดอัศจรรย์บันลือลาน
ขอพระบรมนาถ ประภาษถามพระเจ้าหลาน
เป็นทิพพยาน แก่ข้าผู้ทลิกา
บัดนั้นเสนามาตย์ ราชนิกูลพราหมณ์โหรา
ประชุมนั่งพร้อมหน้า อันเพียบเฝ้าเจ้ากรุงศรี
ฟังเฒ่าเล่าให้การ ว่ากุมารสองน้องพี่
เห็นจริงของธชี ชี้แจงความตามสัตยา
ต่างชวนกันติเตียน ตำหนิโทษกล่าวครหา
ว่าเวสสันตรา นี่ไฉนทำทานเนือง
เป็นชีไปอยู่ป่า แรงร้ายกว่าเมื่ออยู่เมือง
ตกยากแค้นคาเคือง บ่หลาบแล้วฤๅมาทำ
แม้นมาตรประสาทให้ แต่ทุนทรัพย์เงินทองคำ
แก้วแหวนแซ่แสนสำ- หรับควรที่จะทำทาน
สามารถอาจอวยองค์ บุตรีทรงโฉมเยาวมาลย์
ให้เสียเสื่อมสันดาน กษัตริย์ชาติพึงติฉิน
ปางนั้นบันพระชา- ลีนัดดาเจ้าครั้นยิน
เสนาชวนกันฉิน นินทาบาทพระบิดา
เมื่อจักจะป้องกัน เหล่าพวกพาลกล่าวครหา
เพื่อให้พระอัยกา ปรากฏแจ้งจึงทูลพลัน
ข้าแต่ละอองบาท บรมนาถผู้ทรงธรรม์
ดูรุช่างชวนกัน นินทาได้ไม่ปรานี
เหตุว่าพระบิตุราช ตกไร้ญาติอยู่พงพี
ไม่มีทรัพย์โภคี ทาสช่วงใช้จะให้ทาน
ไม่เหมือนกษัตริย์อื่น เขาชมชื่นพร้อมลูกหลาน
ประกอบด้วยสิงคาร จึงทำการได้ดังปอง
นี่พระพ่อก็ตกจน ร้ายทุรพลทรัพย์ข้าวของ
เห็นแต่ลูกทั้งสอง จะได้เพิ่มโพธิญาณ์
ควรฤๅเหล่าพวกพาล แกล้งประจานกล่าวอิจฉา
ติฉินนินทาว่า ต่อหน้าลูกไม่เกรงใจ
มิรู้ฤๅประทีปแก้ว จะส่องสัตว์สร่างไสย
แห่งห้องศิวาลัย นัคเรศตัดโลกีย์
นี่กระไรมาซ่อมแซม เติมแต่งแต้มว่าถ้วนถี่
เห็นชอบด้วยมนตรี ฤๅไฉนพระอัยกา
ปางนั้นพระบาท สญชัยภูวนาถ แจ้งในหัทยา
ว่าพระหลานน้อย เศร้าสร้อยเคืองคา ด้วยคำเสนา ตำหนิติฉิน
จำจักรำงับ พระหลานเพื่อดับ ความโกรธให้สิ้น
เอาดีเข้ากลบ ลบล้างมลทิน คิดแล้วนรินทร์ ดำรัสตรัสไป
ว่าพ่อชาลี กัณหากระษัตรี นี้อย่าสงสัย
โศกศัลย์เศร้าสร้อย นึกน้อยพระทัย ว่าเสนาใน กล่าวโพนโกญจนา
แก่บิดาท้าว หาไม่ดอกเจ้า กล่าวชมศรัทธา
ว่าไม่ย่อท้อ ในทางทานา ด้วยรักโพธิญาณ์ ยิ่งพ้นพันทวี
เมื่อบิดาเจ้า ประสาทสองหน่อเหน้า เป็นทาสธชี
ในน้ำพระทัย เธอยังเปรมปรีดิ์ ฤๅว่าเธอมี ทุกข์โทมนัสสา
ตกว่าตรัสใด อะไรหาไม่ เลยหรือหลานอา
เห็นผิดประหลาดใน พระทัยอัยกา จงพระหลานยา ชี้แจงอาการ
จึงพระชาลี นำเอาคดี ความทุกข์ทรมาน
ซึ่งนางกัณหา ละห้อยสงสาร ในกัณฑ์กุมาร กราบทูลอัยกา
ขณะนั้นพระบาท สญชัยธิราช ทรงฟังนัดดา
กลั้นความกำสรด ระทดหัทยา แล้วเอื้อนโช่งคา ตรัสแก่สององค์
ดูราชาลี กัณหามารศรี เนื้อหน่อสุริวงศ์
ตระกูลล้ำเลิศ ประเสริฐสูงส่ง แต่ก่อนย่อมทรง นุภาพเกรียงไกร
เห็นพระอัยกา ชื่นชมรมยา ลีลาปราศรัย
บันเทิงทอดสนิท ชิดเชยชูใจ เจยจากปู่ไป สักเท่าใดเลย
กิริยาดูแปลก เหมือนหนึ่งว่าแขก เมืองมิคุ้นเคย
ไยเป็นเช่นนั้น นะพระหลานเอ๋ย แกล้งเผินเมินเฉย มิได้ดูดี
ชาลีสุริวงศ์ สารภาพกราบลง ทูลท่านทันที
ว่าพุทธิเจ้าข้า ซึ่งทรงปรานี นับว่าชาลี นี้เนื้อพงศ์พันธุ์
พระราชอาญา ล้นพ้นเกศา คุณามหันต์
แต่ข้าพระบาท เป็นทาสติดพัน จะขึ้นนั่งนั้น เสมอกันฤๅควร
ถือตัวเป็นไท ไม่รอดชั่วไป เป็นล่วงลามลวน
คราทีนั้นเล่า ข้าเฝ้าจะชวน กันกล่าวเสสรวล เล่นเช่นบิดา
นี่แหละท่านท้าว จึงข้าพเจ้า พี่น้องสองรา
เจียมตัวกลัวเดช เหตุเท่านี้นา จงทรงเมตตา ทราบน้ำพระทัย
เจ้ากรุงสีพี ทรงฟังคดี ชาลีสนองไข
ดูรุหลักแหลม ลิ้นลมเหลือใจ เช่นนี้เหมือนใคร เสือกไสเจรจา
แต่วันนี้หนอ พระปู่จักขอ เสียเถิดหลานอา
ประดุจเอาไฟ ลุกลนอัยกา ทั่วสกนธ์กายา ร้อนเร่าหัทยี
เพียงหนึ่งทำลาย จะแยกแตกตาย เจ็บพ้นพันทวี
ถึงจักนอนนั่ง ไม่ตั้งสมประดี แกล้งให้ปู่นี้ เสวยความโศกศัลย์
ธรรมเนียมที่ไหน แต่กาลก่อนไกล กษัตริย์สืบสืบกัน
ตกเป็นทาสา เหมือนเจ้าว่านั้น หงส์ฤๅจะผัน กลับกลายเป็นกา
คิดน่าอนาถ ปู่จะให้พ้นทาส เป็นไทเถิดหนา
จะไถ่เจ้าไว้ อย่าได้เคืองคา เมื่อพระบิดา ให้มาชูชก
ตีค่าสองไท มากน้อยเท่าใด ปู่ไซร้จักยก
ทรัพย์สิ่งส่งให้ แก่เฒ่ากระยาจก เจ้าอย่าวิตก ไปเลยพระหลาน
จึงพระชาลี กราบทูลคดี สนองพระโองการ
ว่าเมื่อบิดา จะให้มาเป็นทาน ตัวเกล้ากระหม่อมฉาน นี้ตีราคา
เป็นทรัพย์สุวรรณ พันตำลึงนั้น ขาดจากทาสา
แต่พระน้องนาถ วรราชกัณหา พิกัดราคา ให้มามากมาย
อีกโคมหิงส์ ข้าทาสชายหญิง สิ่งละร้อยโดยหมาย
กับด้วยทองคำ ร้อยตำลึงให้ จึงพระน้องได้ จากทาสธชี
ออเออเท่านั้น ดอกฤๅหลานขวัญ จะพลันไยมี
เหวยนายนักการ ใครยังอยู่นี่ วิ่งไปทันที เบิกเอาทรัพย์มา
ตามคำพระหลาน อย่าได้เนิ่นนาน สิ่งละร้อยตรา
จักพระราชทาน แก่พราหมณ์ภิกขา จงเร่งขนมา ตามเราตรัสสั่ง
บัดเจ้าพนักงาน รับราชโองการ วิ่งไปสพรั่ง
พามาถ้วนถี่ มีในพระคลัง ตามโองการสั่ง ส่งให้เฒ่าพราหมณ์
แล้วท้าวปราศรัย ว่าเราขอบใจ เฒ่าพาสองทราม
รักเรามาให้ ไม่ไปอื่นตาม ภักดีโดยงาม สมความมุ่งหมาย
เราจักรางวัล ปราสาทเจ็ดชั้น นอกค่าสองสาย
จงท่านตาพราหมณ์ อยู่ตามสบาย ทรัพย์สิ่งเครื่องใช้ มีครบสบสรรค์
ชูชกฒาจารย์ คำนับรับทาน ชื่บบานหฤหรรษ์
ถวายบังคมลา คว้าย่ามตะพายพลัน จับไม้เท้าตรัน งกงันออกไป
ขึ้นสู่ปราสาท ข้าสาวสพราศ พร้อมพาเข้าใน
มณเทียรเตียงตั้ง เฒ่านั่งสบายใจ คว้าเอาหมอนใหญ่ หนุนคุดคู้นอน
ปางกรุงสญชัยนรินทร ไถ่สองสายสมร
หลานรักจากพราหมณ์พฤฒา
ประโลมลูบจูบชมรมยา พระญาติวงศา
พรั่งพร้อมถนอมเชยชม
เหล่านางชาวที่นักสนม กำนันทุกกรม
ชวนกันพิลาปรับขวัญ
นางนมพี่เลี้ยงพร้อมกัน พาสองจรจรัล
เข้าที่ชำระสระสรง
ขัดสีสิ้นธุลีผง สำอางอ่าองค์
โอภาสพึงพิศพรรณราย
จึงเอาสุคนธ์ลูบไล้ ทั่วพระวรกาย
สดศรีฉวีวรรณผุดผ่อง
บรรจงทรงเครื่องเรืองรอง นุ่งยกแย่งทอง
ห่มกรองสอดสีสุวรรณ
ทรงมงกุฎเพชรพรายพรรณ สอดสังวาลอัน
พิจิตรด้วยแก้วเก้าประการ
ประดับสององค์กุมาร ล้ำเลิศแลลาน
อ้อนแอ้นก็น่าเอ็นดู
จึงพระปิ่นเกล้าเจ้าปู่ เข้าประคองอุ้มชู
ชาลีวรราชนัดดา
อัยกีอุ้มแก้วกัณหา เสด็จไคลคลา
มาสั่งวิเสทฝ่ายใน
ให้จัดบายศรีประไพ สองสำรับสรรพไป
พิจิตรด้วยสุวรรณรจนา
วิเศษขรัวนายซ้ายขวา รับราชบัญชา
ผู้เจ้าพิภพสีพี
พร้อมการจัดสรรบายศรี สลอนมากมี
ถ้วนตัวทั่วทุกพนักงาน
เร่งรัดจัดแจงแต่งการ พิจิตรโอฬาร
แต่ล้วนเลือกสรรบรรจง
ห่อหุ้มคลุมผ้าทองทรง เสร็จแล้วยกส่ง
ให้เหล่ากรมวังทั้งปวง
ออกตั้งยังท้องพระโรงหลวง ทั่วทุกกระทรวง
มานั่งพรั่งพร้อมพราหมณ์ชี
ครั้นได้พิชัยฤกษ์ดี อัยกาอัยกี
อุ้มพระหลานศรีออกมา
ให้นั่งกลางขัตติวงศา มีพระบัญชา
ให้พราหมณ์โหรามอบขวัญ
พราหมณ์จึงจุดเทียนไชยัน เทียนเวียนแว่นขวัญ
แล้วอ่านเวทย์ศาสตรามนต์
ไชยไชยมไหโศภน ขอจำเริญผล
แก่พระพี่น้องสองสมร
ขวัญเจ้าอย่าล้าเล่นจร ไปชมสิงขร
ห้วยเหวเปลวปล่องช่องธาร
อย่าชมสรรพสัตว์ไพศาล พวกพยัคฆ์ภัยพาล
ผีป่าคระหวนครวญคราง
ขวัญเอยเชิญเชยสุรางค์ แสนสาวสำอาง
อเนกก็พ้นคณนา
ขวัญสองมาครองสวรรยา ทรัพย์สิ่งโภคา
พิพัฒน์สวัสดิ์สมบูรณ์
พร้อมพระวงศานานูน สืบสืบตระกูล
ตามคลองทศพิธทางธรรม์
ขอจงทีฆายุอัน ยืนยาวถึงพัน
อันตรายอย่าได้เบียดเบียน
ประกอบเก้ารอบแว่นเวียน เสร็จแล้วดับเทียน
โบกควันจุนเจิมพักตรา
พรั่งพร้อมพระญาติวงศา ชีพราหมณ์พฤฒา
สนมนาถกัลยานารี
ข้าทูลละอองธุลี ถวายพรชัยศรี
สวัสดิ์แก่เจ้าทั้งสอง
ให้ประโคมแตรสังข์ฆ้องกลอง สะเทือนกึกก้อง
ระทิงเซ็งแซ่ทั้งเวียง
ต่างต่างภาษาถวายเสียง สั่งสรรพสำเนียง
เสนาะเพราะเพรียงนี่นัน
คำรบครบถ้วนเจ้ตะวัน สมโภชทำขวัญ
แก่เจ้าทั้งสองสวัสดี
ขณะนั้นสองกษัตรา พระอัยกาและอัยกี
ตรัสถามเจ้าชาลี ผู้หลานรักร่วมหฤทัย
พระปิตุมารเจ้า ทั้งสองท้าวอันอยู่ใน
หิมพานต์สถานไพร ค่อยเป็นสุขครองพระชนม์
ผลไม้แลเผือกมัน ได้คร่ำครันฤขัดสน
ฤๅเกิดจลาจล ด้วยภัยพาลมาพาธา
แต่จากกรุงสีพี อยู่พงพีทรงบรรพชา
ได้ความเวทนา ลำบากกายประการใด
จงพระนัดดา บอกอัยกาให้แจ้งใจ
ปู่นี้คิดอาลัย ถึงสองไทไม่เว้นวัน
เมื่อนั้นพระชาลี ก้มเกศีกราบทูลพลัน
ข้าแต่ปิ่นไอศวรรย์ ซึ่งพระองค์ทรงการุณย์
………………… ……………………อุน
…………………………อุน ……………………เอา
…………………. ……………………เอา
ถามถึงปิตุมาร(ดา)เล่า จะใคร่รู้ความร้ายดี
ปิตุมา(รดา)สองดาบส สร้างพระพรตในพงพี
แสวงหาผลพฤกษี ครองพระชนม์พอครันฉัน
หนึ่งสัตว์จัตุบาท เที่ยวเกลื่อนกลาดในหิมวันต์
บ่ได้ปองร้ายกัน และบ่มีมาบีฑา
ด้วยเดชพระไมตรี พระฤๅษีแผ่เมตตา
ได้เย็นเกล้าเกศา ทุกอกสัตว์สำราญใจ
คิดมาน่าสงสาร แก่ชนมาร(ดา)สุดอาลัย
ครั้นเช้าเธอก็ไป ปรนนิบัติไท้เป็นนิรันดร์
แล้วกลับมาโลมเล้า สองข้าพเจ้าแล้วผายผัน
ไปป่าหาเผือกมัน พรรณผลไม้เที่ยวเสาะสน
ด้วยทรงพระปรานี เกล้ากระหม่อมนี้เป็นล้นพ้น
มิได้คิดแก่ตน ท่องเที่ยวทนความเสดษา
กลัวลูกผัวอดอยาก สู้ลำบากเพียรพยา
สอยเกี่ยวเที่ยวหาบหา พอได้มาปันกันฉัน
อนิจจาพระแม่เจ้า ไปแต่เช้าจนสายัณห์
ลงลับจึงกลับผัน มาสู่คันธกุฎี
แล้วข้าพระเจ้าสอง พี่และน้องก็เปรมปรีดิ์
ชวนกันกินพฤกษี แทบประตูบรรณศาลัย
คิดมาน่าสมเพช แสนสังเวชแม่เหลือใจ
ถึงว่าใครผู้ใด เขายากไร้ได้ทุรพล
ก็ย่อมสุขสำราญ กินอาหารไม่ขัดสน
นี่กระไรเลยมาทน ความเคืองเข็ญไม่เว้นตรอม
กว่าจะได้มาภักษา หิวโหยมาจนซูบผอม
ลางวันมิครันยอม ออมอดให้แต่ลูกกิน
นี่พระแหละอัยกา เช่นนั้นมาเป็นอาจิณ
ซุกซนทนยุงริ้น ร่านร้ายรบขบในไพร
แต่ก่อนพระชนมาร เคยสำราญอยู่เย็นใจ
ในนิเวศเวียงชัย พรั่งพร้อมไปด้วยสุรางค์
อุดมโสมนัส สุขสวัสดิ์ศรีสำอาง
ทรวดทรงทั่วสารพางค์ เลิศลักขณาน่าเชยชม
แต่จากพระอัยกา ไปอยู่ป่าไพรพนม
ตรากตรำช้ำอกกรม ซูบซีดผอมดูรุงรัง
รูปร่างคล้ำมัวหมอง มังสังพร่องยังแต่หนัง
เส้นเอ็นเห็นสะพรั่ง ทั้งจริตผิดแผกไป
โอ้แม่แต่ก่อนเล่า ครั้งเป็นเจ้าสนมใน
มิเคยเลยเคืองใจ นี่กระไรสุดแสนเข็ญ
แขนเขียวเที่ยวหาบหา มูลผลาทุกเช้าเย็น
ทารกากายจำเป็น ปะแดดลมล้วนธุลี
ดังดอกประทุมชาติ อันสะอาดบริสุทธิ์ดี
มีผู้ทำย่ำยี ให้ย่อยยับอับสีสัน
หนึ่งเล่าพระเกศี พระชนนีดำเลื่อมมัน
คือปีกแมลงทับ อันงามระยับวะวับตา
ยามเมื่อได้ความยาก ทนวิบากเล่บุกป่า
หนามเรียวเกี่ยวเกศา ขาดกระจุยสยุยสยอง
อยู่เมืองสรรพเครื่องทรง สำอางองค์แต่ล้วนทอง
อยู่ป่านุ่งคากรอง ผูกห่อเกล้าเล่าผิดอย่าง
ทั้งพระสกนธ์กาย กลัวกลิ่นอายเหม็นสาบสาง
เศร้าซูบเสียรูปร่าง น่าสมเพชสังเวชใจ
โอ้โอ๋พระทูลเกล้า นึกขึ้นเล่าน้ำตาไหล
สุดที่จักกลั้นได้ แต่ล้วนให้ความอาดูร
อนิจจาเมื่อยามนอน ใบไม้อ่อนมาลาดปูน
ท่อนรุกข์ต่างเขนยหนูน เกลือกกลิ้งกายกับดินดาน
กองกูณซึ่งอัคคี ก้มเกศีนมัสการ
ตามเลศนักสิทธิ์ศาล แต่บูราณสืบกันมา
หลานเล่าความทุกข์ร้อน แห่งบิดรและมารดา
ควรด้วยเกล้าเกศา หรืออัยกาเห็นมิควร
กลัวเกลือกทรงสังเวช ว่าบังเหตุล่วงลามลวน
เสือกไสซ้อมสำนวน ล้วนกระแทกกระทบท้าว
พระปู่ผู้ฤๅสาย หามิได้ดอกทูลเกล้า
แต่ว่าผู้เป็นเจ้า จะใคร่ทราบพระหฤทัย
ธรรมดาสัตว์มาเกิด เอากำเนิดโลกวิสัย
ประกอบด้วยกิเลสใน ไม่สำเร็จพระนฤพาน
ย่อมมีความราครัก เป็นหน่วงหนักในสันดาน
สิ่งใดจะเปรียบปาน เสมอบุตรนั้นไม่มี
ขึ้นชื่อพ่อกับลูก ย่อมพันผูกยิ่งแสนทวี
มาดแม้นลูกสวัสดี ยังปรานีมิลืมเลย
อันองค์พระบิดา ได้เวทนาพระคุณเอ๋ย
แต่ก่อนเธอย่อมเคย เป็นหน่อเนื้อสกุลวงศ์
แต่ระแวงด้วยทำทาน พาสารคเชนทร์ทรง
ชาวเมืองจึงยุยง ให้ขับส่งเสียจากวัง
เห็นทีพระกิริยา พระอัยกาไม่อินัง
มิคิดความอนิจจัง ช่างตัดได้ใม่อาลัย
นี่แลกัณหาน้อง เราทั้งสองก็จนใจ
ด้วยว่าไม่มีใคร จะบำรุงดูร้ายดี
หน้าที่เขาจักสรวล ประชุมชวนกันย่ำยี
เราจะเอาพระบารมี ของใครเล่ามาคุมตัว
จะพึ่งพระอัยกา คิดขึ้นมาก็น่ากลัว
เกลือกจักมิรอดชั่ว เช่นจะเป็นเหมือนบิดุมาร
ลูกรักร่วมหฤทัย ไม่อาลัยคิดสงสาร
อย่างเราเป็นแต่หลาน จะมิร้ายแรงฤๅหนา
ควรเรารำพึงเถิด ตายเสียจักประเสริฐกว่า
เป็นคนไปเบื้องหน้า เห็นไม่พ้นความมลทิน
ปางนั้นจึงพระเจ้า สญชัยท้าวเธอทรงยิน
คำหลานพาลติฉิน จึงปลอบโลมรับขวัญ
ดูก่อนพระนัดดา เออพ่ออย่าว่าเช่นนั้น
ใช่ปู่จะอาธรรม์ บิดาเจ้าเมื่อใดมี
อันองค์เวสสันดร บุตรอุทรประเสริฐศรี
เปรียบปานด้วยชีวี แห่งปู่นี้เป็นสุดใจ
แต่หลังกำบังจิต ไม่ทันคิดให้หลงใหล
ขับพ่อเจ้าจากไกล ด้วยฟังคำประชาชน
กระทำนี้ผิดอย่าง ให้เสียทางสวัดิผล
เกิดอัปมงคล มิควรที่เลยพระหลาน
ซึ่งเจ้าเล่าทุกข์ยาก ความลำบากแห่งบิดุมาร
เวทนาน่าสงสาร ควรคิดอ่านรับเข้ามา
ปู่จะให้เจ้าออกไป ชวนเชิญไท้พระบิดา
ลาพรตจรรยา กลับเข้ามายังราชฐาน
ปู่จะมอบให้ครอบครอง ทรัพย์ข้าวของแสนสิงคาร
สืบวงศ์พงศ์สันดาน เห็นกระไรเล่าเจ้าชาลี
พระพุทธิเจ้าข้า ซึ่งอัยกาคิดปรานี
นับว่าเนื้อนฤบดี พระคุณมีล้นเกศา
ตรัสมาทั้งนั้นเล่า ควรด้วยเกล้านี้นักหนา
มิขัดพระอัชฌา แห่งอัยกาตรัสใช้ไป
แต่ว่าพระเจ้าพ่อ ละเอียดลออเป็นพ้นใจ
ตรัสทรงวินิจฉัย ในคดีถ้อยทางความ
เธอทรงซึ่งมานะ สู้สละไม่เข็ดขาม
อุตส่าห์เพียรพยายาม ด้วยถือความสัจสู้ตาย
เกลือกท้าวจะฉุนคิด ว่าทรงฤทธิ์มิได้ใช้
ชาลีนี้อุบาย เอาเองดอกออกมาเชิญ
จะเฉลียวพระทัยโกรธ ติเตียนโทษว่ายับเยิน
ว่าข้านี้ล่วงเกิน เสียทีเกิดในวงปราญ
ถ้าว่าด่าเช่นนี้ ข้าชาลีผู้ลูกหลาน
จะได้อายอัประมาณ ด้านเอาหน้าไว้แห่งใด
แล้วเหล่าราชประชา จะเห็นว่าน้ำพระทัย
พระองค์ทรงอาลัย นั้นน้อยนักเสียศักดิ์ศรี
ถึงองค์พระบิตุรงค์ ไม่คืนคงยังธานี
ถ้าว่าคิดปรานี เสด็จจรลีออกไปเอง
ทั้งพระเกียรติยศ จักปรากฏอยู่ครื้นเครง
ศัตรูรู้ขามเกรง ระบือทั่วทุกทิศา
พระพ่อหน่อกษัตริย์ จะไม่ขัดพระอัชฌา
ตามใจพระอัยกา คงกลับมายังธานี
ขณะนั้นพระบาท สญชัยภูวนาถ ทรงฟังคดี
หลานเราทุกยาก ลำบากกายี แห่งพระฤๅษี ซึ่งอยู่กลางป่า
ท้าวคิดสมเพช ว่าโอ้พระเวส สันดรลูกยา
มีกรรมจำให้ ได้ความเสดษา จึงมีบัญชา ตรัสแก่พระหลาน
ซึ่งเจ้าแจ้งบอก จะให้ปู่ออก ไปรับบิดุมาร
ว่ามาทั้งนี้ เห็นควรแก่การ แล้วพระภูบาล ท้าวตรัสสั่งไป
แก่แสนเสนา สัสดีซ้ายขวา จตุสดมภ์กรมใน
จงเร่งบัตรหมาย แจกจ่ายกันไป ทุกเมืองน้อยใหญ่ ให้รู้ทั่วกัน
กูจักเสด็จจร ไปสู่สิงขร คันธมาสหิมวันต์
อาราธนาดาบส ลาจากพรตพลัน ให้กลับผายผัน คืนครองนคร
สู้เร่งกะเกณฑ์ จีนญวนเขมร พม่าลาวมอญ
แขกชวาบุหงิด อังกฤษอย่าหย่อน เร่งไปเตือนต้อน ปักป่าวกันมา
จัดแจงแต่งตาม กระบวนสงคราม พิชัยยาตรา
แล้วให้ถางแผ้ว เนินแนวมรคา จนถึงประตูป่า วงกตคีรี
หนึ่งลูกพญาอัน เกิดร่วมยามกัน กับโอรสศรี
กวาดมาให้หมด กำหนดจรลี ในเจ็ดราตรี ตามมีโองการ
สั่งเสร็จเสด็จเข้า สั่งหมู่ชาวเจ้า แสร้สาวบริพาร
ทั่วทุกตำแหน่ง เร่งจัดแจงการ ตรัสแล้วภูบาล เข้าสู่ห้องใน
บัดนั้นเสนา รับราชบัญชา วิ่งหากันไขว่
บอกตามกระทรวง พระหลวงน้อยใหญ่ เขียนสารส่งไป ไปทุกหัวแขวง
กรมนายราชรถ บรรจงอลงกต เกนกันตบแต่ง
เทียบด้วยพาชี ตัวดีกล้าแข็ง เคล่าคล่องเริงแรง แต่ล้วนควรการ
กรมช้างจัดช้าง เผือกเนียมสำอาง ไอยราพญาสาร
ข่ายกระหนกปกกระพอง เรืองรองตระการ ภู่ห้อยย้อยยาน สายพานหน้าหลัง
กรมม้าจัดม้า เลือกล้วนตัวกล้า เอามาแต่งตั้ง
เบาะอานพานพู่ ห้อยหูดูสะพรั่ง อีกม้าพระที่นั่ง สำหรับรองทรง
ยังหมู่ทวยหาญ หกเหล่าชำนาญ เชี่ยวชาญการณรงค์
พร้อมกันจัดแจง แข่งขันบรรจง พวกรักษาองค์ ถือตะบองป้องกัน
จัดแจงเกณฑ์แห่ ระทึงอึงแอ เป็นเหล่าเป็นหลั่น
เปิดเสื้อปัศตู ทุกหมู่พร้อมกัน แจกจ่ายรายปัญ- จางค์วุธต่างต่าง
พวกต่างภาษา ให้แต่งกายา นุ่งห่มคนละอย่าง
ถือกระบี่ดาบยาว ทวนง้าวสล้าง มิได้ละวาง เร่งต้อนกันมา
หัวเมืองร้อยเอ็ด มาประชุมพร้อมเสร็จ ตามในสารตรา
เกณฑ์ให้คุมไพร่ ออกไปรัญวา แผ้วถางมรคา ปลูกศาลาราย
แล้วปลูกตำหนัก หว่างที่หยุดพัก แห่งองค์ฤๅสาย
แต่พอระยะกัน วันหนึ่งโดยหมาย ตลอดไปถึงชาย วงกตคีรี
ราชวัติฉัตรธง เรียงรันบรรจง ตามทางจรลี
ชวนกันตบแต่ง ตำแหน่งหน้าที่ เสร็จแล้วด้วยดี ตามมีโองการ
ขณะเมื่อพระองค์ ตระเตรียมจัตุรงค์ จะไปหิมพานต์
รับโอรสา มาครองสิงคาร ส่วนพฤฒาจารย์ ชูชกใจฉกรรจ์
อยู่สุขภิรมย์ ด้วยเหล่าสาวสนม ในปรางเจ็ดชั้น
เมื่อจักเกิดเหตุ ใจเปรตมาทัน เฒ่าเผอิญให้ฝัน อยากสรรพมังสา
สั่งให้แม่ครัว จัดแจงคั่วอั่ว ต้มแย้ยำพล่า
กบแกงกับหมู ปูเต่าเอามา แต่ล้วนบรรดา ของกูเคยกิน
แม่ครัวรับคำ ออกมาจัดทำ วุ่นวายไขว้ขวิ้น
ให้ทันกับอยาก เฒ่ากากทมิฬ เสร็จแล้วโดยถวิล ยกออกมาวาง
ตรงหน้าชูชก เปิดฝาชีปก ยกตะเกียบหยิบพลาง
ชิมดูสิ่งละน้อย อร่อยสิ้นทุกอย่าง ชอบปากเฒ่าวาง กินจนเกินการ
ฝ่ายเตโชธาตุ ไม่อาจสามารถ ที่จักเผาผลาญ
วาโยทบทวน หวนหอบอาหาร สุดที่ทนทาน ถึงกาลความตาย
มรดกตกอยู่ ไม่มีเผ่าผู้ ญาติกาหญิงชาย
จะมารับรอง ครองทรัพย์สืบสาย ปลงผีชีตาย เฒ่าร้ายเอกา
สญชัยภูวนาถ ท้าวให้ประกาศ ทั่วทั้งพารา
มิได้พบพาน ลูกหลานวงศา คืนทรัพย์โภคา เข้ายังคลังหลวง
แล้วสั่งนครบาล ว่าซากสาธารณ์ เอาใส่พนมบ่วง
เสร็จสรรพส่งให้ แก่อ้ายคนพ่วง ลากไปเขตข้วง ป่าช้าสงสาร
ครั้นรุ่งอรุณตั้งด่าน คำรบสัตวาร
เป็นวันเสด็จจรคลา
พวกหมู่ข้าบาทมุลิกา ทุกหมวดตรวจตรา
ถ้วนหน้ามาตามกำหนด
พร้อมเพรียงเรียงนายราชรถ วางคนพลคช
เป็นถ่องเป็นแถวกันไป
พลหอกทวนง้าวไสว ธนูหน้าไม้
เกาทัณฑ์เขโลโตมร
พลปืนดาบยาวกระบี่งอน สะเทือนเกลื่อนกร่อน
สะพรั่งนั่งเนืองเป็นขนัด
แล้วให้ขุนนายสารวัตร ตำรวจตรวจจัด
ซ้ายขวาหน้าหลังโยธี
สิบสองอักโขเภณี หวังนอบเกศี
คอยรับเสด็จยาตรา
ฝ่ายหมู่สนมนาถกัลยา นางในโขลนจ่า
ระร้าระรี้ภิรมย์
ด้วยว่าจักได้เชยชม ชื่นชูอารมณ์
สมใจวิสัยสงสาร
ต่างต่างเข้าจับประจำการ ทำตามพนักงาน
แห่งตนที่เคยจัดสรร
เช่าเครื่องเชิญเครื่องมาพลัน ส่งให้แก่กัน
รับรองประคองจงดี
ห้ามแหนแสนนาถนารี สุขเกษมเปรมปรีดิ์
ชวนกันชำระวรกาย
กระแจะเจิมจบอบอาย เกศาสอยราย
เรียงเส้นสลวยสวยสม
ผิวผ่องผัดหน้าน่าชม แช่มช้อยจริตคม
นุ่งห่มแต่ล้วนยวนใจ
หนุ่มแก่ปานกลางนางใน สาวศรีวิไล
ล้วนลูกตระกูลวงศา
เป็นหลั่นอันดับกันมา ต่างแต่งกายา
ให้งามยิ่งยวดกวดกัน
แม้นนางสุรางค์ในสวรรค์ นับด้วยหมื่นพัน
วรลักษณ์เลิศรองเรือง
ควรที่เป็นศรีส่งเมือง เกษมสันต์บรรเทือง
แก่องค์ผู้ทรงภพไตร
แต่ละพวกพวกเหล่านางใน ชวนกันออกไป
ชาลาคอยท่าเสด็จจร
ปางกรุงสญชัยนรินทร ชวนนาถดวงสมร
ผุสดีผู้ปิ่นจอมนาง
ชาลีกัณหาโฉมปราง สี่กษัตริย์สำอาง
เสด็จเข้าสู่ที่สรงชล
ขันทองรองฝักอุบล ฟองย้อยฝอยฝน
กุหลาบอาบอบกายา
กรแจะจันจุณเจิมเฉลิมทา เสร็จทรงภูษา
สอดสร้อยสะอิ้งพริ้งพราย
กรรเจียกจรเลิศเฉิดฉาย มงกุฎแล้วราย
สลับเพชรแต่ละเม็ดควรทรง
กุณฑลวิจิตรบรรจง อ้อนแอ้นเอี่ยมองค์
ทรงเสร็จลีลาศยาตรา
มาสู่เกยแก้วเลขา พร้อมหมู่มาตยา
สนมนางห้ามแหนแน่นนันต์
ได้ฤกษ์ให้ย่ำฆ้องพลัน ร้องโห่สนั่น
มโหรีปี่แก้วระงม
ประโคมแตรสังข์ระดม สมเด็จบรม
ภูวนาถสญชัยอัยกา
เสร็จทรงสารเสวกพระยา หัสดีคชา
สรรพด้วยปิลันธ์บรรจง
ชาลีหลานราชสุริวงศ์ เสด็จขึ้นทรง
คเชนทร์ทิพอาสน์โอฬาร
อัยกีปิ่นปักบริพาร กัณหาเยาวมาลย์
ก็ทรงรถแก้วแววศรี
ฝ่ายหม่อมห้ามและนารี ต่างต่างขึ้นขี่
ช้างพังโกบแล้วกระโจมทอง
บ้างขี่ราชยานเรืองรอง ผูกม่านแย่งกรอง
สมบรรดาศักดิ์โปรดปราน
จึงองค์สญชัยนฤบาล ตรัสแก่พระหลาน
ให้เป็นทัพหน้านำพล
ยกย้ายยืดพวกพหล สะเทือนภูวดล
ผงคลีตลบปลบไป
เครื่องสูงสล้างไสว เฉตฉัตรประไพ
พัดโบกทานตะวันพรรณราย
กลดกลิ้งกรรชิงรัตน์เรืองฉาย อภิรุมชุมสาย
บ้างถวายอยู่งานวิชนี
ยกล่วงจากเขตกรุงศรี เข้าดงพงพี
ระทึงอึงมี่นี่นัน
เสร็จชมมิ่งไม้มีพรรณ ดังแกล้งปลูกสรร
เป็นแถวแนวเนืองตามทาง
ลูกดอกออกช่อสล้าง ดูงามต่างต่าง
ตั้งตุ่มกระพุ่มแย้มบาน
ฝูงนางกำนัลนงคราญ ชวนกันสำราญ
ยื้อชักกระชากชิงผลา
มังคุดลางสาดดาษดา มะปริงมะปรางป่า
ขนุนขนันอินจัน
ลางพวกเก็บดอกเบญจวรรณ มาร้อยแซมกรรณ
เกศเกล้ารสรื่นชื่นชม
ต่างเหล่านิกรสะสม สุขศรีภิรมย์
ชมพรรณดอกลูกรุกขา
ชาลีสุริวงศ์พงศา นำเสด็จไคลคลา
ตรัสชมผกากลิ่นขจร
ไต่เต้าข้ามเนินสิงขร หลายวันแรมนอน
ครั้นรุ่งเรืองแสงเสด็จดล
เสียงคชาเสียงรถม้าคน ก้องโกลาหล
สบสัตว์ไพรสณฑ์หวาดหวั่น
ผงคลีกลุ้มเกลื่อนเป็นควัน อับแสงสุริยัน
ตลบด้วยเสียงโยธี
สิบสองอักโขเภณี เลี้ยวลัดวิถี
หมายสิงขรวงดงดาน
พระเวสสันดรวรญาณ ท้าวอยู่สถาน
สถิตสำนักที่ใด
ให้เร่งพลบทจรไคล ข้ามพงตรงไป
สู่ไทธิเบศร์กษัตรา
มหาราชหกสิบเก้าคา- ถานิถิตา
พรรณนาฉกษัตริย์ต่อความ
ชาลีสุริวงศ์ทรงนาม ยกพลล่วงข้าม
เข้าเขตวงกตคีรี
ครั้นถึงมุจลินท์สระศรี ยั้งหยุดโยธี
สั่งให้ตั้งพลับพลาพลัน
ตำหนักนอกในเรียงรัน เพื่อจักป้องกัน
สรรพสัตว์อันร้ายพาธา
เสียงพลม้ารถคชา ครืนครั่นสนั่นป่า
ปิ้มว่าจะทรุดโทรมลง