๑.กัณฑ์ทศพร ๑๙ พระคาถา
- รายละเอียด
- หมวด: เทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 31 สิงหาคม 2556 23:21
- เขียนโดย manop
- ฮิต: 2662
พระมหาชาดกกัณฑ์ทศพร
ฉบับภัทรศรีพิพิธภัณฑ์ วัดมัชฌิมาวาส สงขลา
กรเกยกุ่มกับเกศ จงจิตเจตอภิวันท์
คุณาเนกมหันต์ ยอดมงกุฎสุดพระคุณ
จักแจ้งให้ปรากฏ ตถาคตเมื่อการุญ
แก่สัตว์ปกป้องปุน จักจากโอฆสงสาร
พุทธาสร้างบารมี นับอเนกอนันต์นาน
ทศชาติเมื่อจบการ อยู่ชั้นดาวดุสดาวัน
เสวยทิพสมบัติ ลงมาตรัสตรึกตรองธรรม
วิมุติยาก็มหันต์ ตรัสไขธรรมอันเพราะดี
สุตตันตะวีไนย ปรมัตถะคัมภีร์
คาถาแล้บาลี อรหันต์สังฆาญ่นาย
สย้ามภาคมุคโค จะผูกพันนีทานไว้
โน้มน้าวเอานียาย มหาชาติชาดก
เดิมเดียวได้โดยอยาก สร้างบรมีมากสาธก
ญีสิบสงไขตก กำไมร้แสนมหากัลป์
เมื่อสุดสิ้นชาติแล้ว ตัดราคแร้วรึงรัดพัน
ข้าขอยกเป็นฉันท์ โรคไภยันให้เจียรไกล
ให้ปาวเล่าแก่กัน ถ้วนหญิงชายทั้งหลายใด
จักใคร่พบพระเมตไตรย ตรัสทรงนามพระศรีอารย์
ถ้าใครมีบุญแก จิตใสแท้มีสมภาร
พึงฟังจงชำนาญ ในนีทานมหาชาติ
มียศมีศักดา มีปัญญาย่อมเฉลียวฉลาด
ได้ทำมหาชาติ ชวนชนาทุกสบสรรพ์
ให้ฟังจงสำเร็จ อย่าให้เหลือล่วงคืนวัน
สดับสูตรสิ้นทุกกัณฑ์ หมายจำธรรม์ในนีทาน
ให้บูชาเครื่องสรพ จัดจงครบบรรดาการ
ธูปเทียนขนมหวาน ธงเทียวทานพรรณบุปผา
กล้วยอ้อยราชวัติ เพดานดัดฉัตรระย้า
ประทีปประทุมมา ครบคาถาถ้วนถึงพัน
ผู้ใดใครจักใคร่ พาเอาตัวสู่สวรรค์
ให้ตรับหูฟังธรรม จงครบพันอันวียถาน
ให้รู้เรื่องทุกกัณฑ์ หมายจำธรรม์ในนีทาน
ให้รับสาธุการ ขึ้นลงอ่านพระคาถา
เป็นกัณฑ์กองสิบสาม เมื่อสำแดงเดิมธรรมา
ต้นนี้มีคาถา สิบเก้าบทชื่อทศพร
เนื่องมาแต่เมืองสวรรค์ อำมรินทร์สรรค์แก่นางก่อน
ทรงนามสมสมร ชื่อผุสดีเดิมได้ไว้
สุรางคนางค์ ๒๘
ปางเมื่อสัตถา วรพุทธศาสดา ได้อยู่อาศัย
นิโครธาราม ร่มรุกขาไทร แว่นแคว้นแดนไตร กระบิลพัสดุ์บุรี
พร้อมษาไกลาส ว่าเจ้าศรีทาช หนุ่มน้อยพันทวี
ควรเป็นหลานเหลน แห่งเราจึงดี เราทั้งหลายนี้ มิควรวันทา
ใช้ราชกุมาร ว่าเว้ยลูกหลาน ไหว้พระเสียหรา
ครั้นเด็กน้อยน้อย กราบไหว้วันทา จึงเหล่าท้าวษา ไกลาสพลอยถวาย
เครื่องบรรณาการ หวางราชกุมาร เหลนหลานหญิงชาย
แล้วออกไปนั่ง เพื่อเพื่อนให้สบาย มิน้อมกายไหว้ สรรเพชญศาสดา
ขณะนั้นพุทธองค์ พระทัยตรึกตรง ว่าญาติวงศา
น้ำจิตกระด้าง ว่าตนใหญ่กว่า ไม่ให้ไหว้วันทา สรรเพชญมุนี
ควรตถาคต ทำอิริยาบถ ทรมานกายี
อันน้ำจิตเจตน์ ว่าตัวเองดี พระองค์เข้าที่ จัตุตถะฌาน
ในพระอานาปา โบราณพุทธา ทำปาฏิหาริย์
เหาะขึ้นกลางหาว ฝนชายบันดาล ตกลงในกาล ต้องเกล้าเกศา
แห่งษาไกลาส บัดเดี๋ยวพระบาท สุโทธน์บิดา
ยอกรชุลี ทูลว่าภควา วันเมื่อศาสดา จากครรภ์ชนนี
แม่นมนำไป จักให้ไหว้ไท ชฎิลฤาษี
บันดาลพระบาท ทั้งคู่ขึ้นยี เหยียบเกศฤๅษี ชฎิลดาบส
ข้าพระอัศจรรย์ กราบบังคมคัล บาทตถาคต
ไหว้เป็นประถม แล้วมาปรากฏ วันพร้อมกันหมด จักแรกนาขวัญ
นางนมปูอาสน์ ให้องค์ไสยาสน์ ร่มไม้หว้าอัน
พระอาทิตย์บ่าย ร่มไม้ยังกั้น ข้าพระอัศจรรย์ ไหว้เป็นครั้งสอง
ในกาลบัดนี้ ไม่เคยเห็นมี บันดาลลอยล่อง
ข้าพระกราบบาท พระองค์ทั้งสอง นับเข้าโดยปอง เป็นคำรบสาม
ท้าวษาไกลาส จึงตรัสประภาษ ด้วยจิตคิดความ
ท้าวศรีสุโทธน์ ได้ไหว้ถึงสาม ควรเราจะตาม กราบไหว้พร้อมกัน
จึงพระศรีทาช ตรัสแจ้งว่าญาติ นอบนบอภิวันท์
เสด็จลงมานั่ง เหนืออาสน์พรายพรรณ ตรัสเทศนาธรรม์ สั่งสอนสืบสาย
ดูราบพิตร ขอพร้อมเป็นเอกจิต ศรัทธาอย่าคลาย
จงไหว้พุทธัง ธัมมังสังฆาย จักจากอบาย ได้ถึงสุขขี
ตั้งพร้อมพระองค์ บันดาลเมฆบง โบกขพรรษาวารี
ตกกลางเหล่าญาติ พรั่งพร้อมชุลี ตั้งอยู่ในตรี สรณาคมคง
จึงอาจาริยเจ้า ดำริกันเล่า สรรเสริญพุทธองค์
ทั้งคุณอุปการ ปองโปรดพระทรง ตรัสปุจฉาสงฆ์ สนทนาสิ่งใด
ครานั้นอรหัต พร้อมพรั่งนั่งนมัส ทูลธรรม์พิสมัย
ว่าโบกขรพรรษ พิสดารก่อนไกร สีแสงน้ำใส ดังน้ำทองแดง
ตกต้องบุทคล แห้ชุ่มในตน ดังอาตมาแกล้ง
ไหลสู่ภูวดล ฝนนี้สำแดง จักเคยเห็นแจ้ง แต่ก่อนไม่มี
ขณะนั้นสรรเพชญ์ ฟังวจนาเสร็จ สงฆ์ทูลคดี
เพื่อทรงกรุณา เมตตาปรานี แย้มโอษฐ์ตรัสชี้ กล่าวเป็นคาถา ฯ
กาพย์ฉบัง ๑๖
ภิกขะเวดูกรหรา ภิกขุสังฆา ทั้งสารีบุตรเถโร
จงฟังวัจนังพุทโธ อันห่าฝนละโภ ชื่อโปกขพรรษธารา
ไม่ตกแต่ครั้งนี้หนา ครั้นเมื่อศาสดา ได้เกิดเป็นเวสสันดร
พร้อมขัตติยะในสิงขร วงกตดงดอน ฝนโปกขพรรษตกลง
ตรัสเท่านั้นแล้วพระองค์ ไม่ตรัสด้วยสงฆ์ ก็ดุษณีนิ่งนาน
พระอารีเจ้าทูลสาร ขอทศพลญาณ จงนำนีมาโภน๑มา
ครานั้นสรรเพชสัตถา ไขรสธรรมา ว่าดูหราวุโส
ตั้งโสตสดับพุทธวัจโน ยังมีรัญโญ กรุงสีพีราชนคร
ผ่านพิภพพิชัยเชตอุดร แม้นเมืองอำมร อเนกก็พ้นคณา
ท่านมีปิโยรสา ทรงนามบุตรา ชื่อศรีสญชัยภูบาล
ฤทธีเดชาชำนาญ โภคาศฤงคาร เลิศล้ำพิภพธาตรี
ทรงนามแห่งกุมารี ชื่อพระผุสสดี ศิรีสุนทรภาครูปา
อภิเษกเป็นชายา จอมเจตเสน่หา กษัตริย์ครอบครองสีพี
จักกล่าวตามอรรถบาลี โฉมนาฏผุสสดี เมื่อมีประโยชน์ปรารถนา
ได้เก้าสิบเอ็ดกัลปา พันกัปนับมา หนหลังแลล่วงลับไป
ครั้งโพธิสัตว์ตรัสใน โลกนี้วิสัย ชื่อวิปัสสีสัมมา
ยังมีขัตติวงศา ทรงนามราชา ชื่อท้าวพันธุมธิบดี
เสวยกรุงพันธุมบุรี อุดมธาตรี เศรษฐีและพานิชา
ท้าวมีวรราชธิดา สององค์ยุพา สุนทรวรเลิศนารี
ดังโฉมรัมภาโกสีย์ หยาดฟ้ามานี ยั่วเย้าโอฆสงสาร
พันธุมบดีนีฤาบาล พระเดชแผ่ผ่าน ปรากฏทั่วทศทิศา
สามลประเทศถวายมา สุวรรณบุปผา บรรณาษรันจันแดง
ควรค่าทองแสนตำลึงแกล้ง อันแก่นจันแดง ค่ามากยิ่งพ้นประมาณ
สมเด็จบิตุเรศประทาน เครื่องบรรณาการ แก่สองเสาวภาคธีดา
นางพี่ได้จันโอชา ฝ่ายนาฏขนิษฐา ท้าวให้สุวรรณมาลี
สุรางคนางค์ ๒๘
ธิดาพี่น้อง ได้รับประสาททอง สัทธายินดี
ปรึกษาแก่กัน แก่นจันท์มาลี เป็นที่ยินดี มโนในฝาย
จะอบบริโภค รูปาวิปโยค ครั้นแล้วสูญหาย
ไม่มีแก่นสาร ดรทานเปล่าดาย บ่ได้ติดกาย ในวัฏสงสาร
พุเทสิตา จะติดอาตมา แผ้วผลศีลทาน
เมตตาภาวนา สัทธากล้าหาญ ตัดรากแร้วภาร ข้ามสังสารา
สองพี่น้องคิด ราตรีตรองจิต กราบทูลบิดา
ตามมโนใฝ่ พระทัยสัทธา ท้าวตรัสว่าสา -ธุตามพระทัย
วรภักคีนี ทั้งพระเจ้าพี่ ยินดีเลื่อมใส
จึงเอาสุวรรณ มาลีเลิศไกร ชูทูลเศียรให้ ทำเครื่องประดับตน
ส่วนนาฏขนิษฐา ทรงพระสัทธา เอาแก่นจันทร์ฝน
ใส่ผอบทอง ทั้งสองนิรมล ทรงเสด็จจรดล เชตุพนวิหาร
สำนักทศพล กราบบาทยุคล สรรเพชฌดาญาณ
พระวิปัสสี พุทโธเนาถาน สองนาฏสักการ ปฏิบัติบูชา
นางผู้พี่นั้น จึงเอาจุนจัน ประพรมบาทา
แห่งองค์พุทธเจ้า จับผิวมังสา ดังทองทาบทา รุ่งรสเรืองกาย
เสถสังยังนัน ลูบทาเสาวคันธ์ กุฎีเรืองฉาย
คือดังทองทับ ระยับจับสาย สุรีย์ส่องต้องพราย ประพริบไพรโพยม
นางตั้งอธิษฐาน ว่าอนาคตกาล ขอข้าทรงโฉม
ล้ำเลิศกษัตรี เป็นที่ปรัฏิโลม ให้มีใจโสม มนัสสัทธา
ในการกุศล ผอนเผือเจือจน หมู่พวกทลีกา
ขอจงข้าได้ เป็นพุทธมารดา ข้างในอนา คตดังใจจง
ขนิษฐาภคินี ยกเครื่องเรืองศรี ปิลันทร์ทองทรง
ประดับอุรา กัลยาจำนง ถวายแด่พระองค์ สรรเพชฌศาสดา
นางจึงอธิษฐาน อนาคตกาล โภนอาตมา
เกิดภพใดๆ ดังใจเจตนา มีเครื่องอุรา ประดิษฐ์ติดกาย
ขอให้ตูข้า ถึงอรหัตตา ดังมโนหมาย
สำเร็จมรรคผล พ้นทั้งวรกาย แสนสุขสบาย ตราบเท่านฤพาน
สมเด็จพุทธองค์ ฟังนางสองปลง จงจิตอธิษฐาน
องค์สัพพัญญู อนุโมทนาทาน ด้วยสองเยาวมาลย์ ดังจิตปัถะนัง
โดยดังจินดา สำเร็จโพธิยา ในอนาคตหวัง
แล้วกุมกราบลา คืนสู่เวียงวัง อายุยืนยัง จนสิ้นสังขาร์
เวียนวันตายเกิด ในภพกำเนิด มนุษย์เทวา
ทั้งพี่ทั้งน้อง ในสังสารา ช้านานหนักหนา เก้าสิบเอ็ดกัป
ส่วนนางผู้น้อง จุติจากแต่ห้อง วีมานงามสรรพ
เกิดเป็นมนุษย์ บรีสุทธิ์ประดับ แสงทองระยับ ตามติดทรวงทรง
โฉมเฉิดเลิศล้วน แน่งน้อยเนื้อนวล ดุจทองทาลง
อุระประดับ สังวาลบรรจง ติดกับอกองค์ ในศาสเน
พระพุทธกัสสป ตรัสในไตรภพ อะยังโลเก
ยังมีรันยา กิงกิศนัคเร ท่านท้าววิเทห์ บิดากัลยา
ทั้งเจ็ดกระสัตรี นางภักคินี ซึ่งถวายมาลา
ครั้งนี้ทรงนาม อุรัจฉัททา นางผู้เชษฐา ซึ่งถวายจุลจัน
ครั้นกลับชาติมา ชื่อสุธรรมา วรโฉมเฉิดฉัน
หนึ่งชื่อสำนี ธิดาดวงจันทร์ นางหนึ่งองค์นั้น สุมลโคตรมี
นางหนึ่งถัดมา โดยนามสมญา ชื่อภิกขุณี
หนึ่งชื่อภิกขุะ ทาลีกากษัตรี ชื่อสังฆทาสี หนึ่งชื่อธรรมา
เจ็ดองค์ทรงลักษณ์ เป็นบุตรสุดรักษ กิงกิษราชา
นางซึ่งอันชื่อ อุรัจฉัททา ในทรวงอุรา ประดับสังวาล
ดังช่างรจนา ที่ในกายา ด้วยผลให้ทาน
สุวรรณมาลา บูชาสักการ จึงมาบันดาล อุระเทวี
ครั้นเมื่อศาสนา กัสสปพุทธา ประวัดยินดี
นางได้สดับ ธรรมบาลี สำนักชินศรี ลุแก่โสดา
นางได้มรรคผล ด้วนธนนม์ทศพล ขาดจากตัณหา
เป็นภิกขุณี ศรีสุนทรา ในวรศาสนา พุทกัสสับปัง
ครั้งเมื่อพระศาสดา พระพุทธศาสนา นามโคตะมัง
ธิดาทั้งเจ็ด เกิดทันพุธัง ได้นามโดยหวัง ชื่อนาฏเขมา
ทรงลักษณ์ผิวผ่อง พักตราคือทอง ชื่ออุบลวรรณา
นางหนึ่งทรงนาม ปัติฉะรา นางหนึ่งโสภา ชื่อโคตรมี
นางหนึ่งนั้นหนา ชื่อธรรมทินนา เลิศยิ่งกระษัตรี
มหามายา ทรงกัลยาณี นางหนึ่งทรงศรี ชื่อวิสาขา
ทั้งเจ็ดนงลักษณ์ นางหนึ่งเอกอัค ซึ่งเป็นธีดา
ทางกิงกิษราช ชื่อสุทธรรมา ดังความปรารถนา ไว้เป็นช้านาน
นางอวยทานา เชื่อในสีลา กุศลผลทาน
ครั้นตายไปเกิด ในทิพพิมาน สำนักมัฆพาน ชื่อนาฏผุสดี
เนาในปราสาท ไพชยนต์ปรางมาศ สุวรรณมาลี
เสวยสุขภิรมย์ สมบัติโกสีย์ วรนุชผุสดี อุดมสมพอง
อำมรินทร์เลงลักษณ์ พระกายวรพักตร์ อัคเรศมัวหมอง
อีกทิพภูษา ดอกไม้พวงกรอง สงสาบกลิ่นต้อง เสโทกลัดใจ
แก่องค์เทวี สุชำบดี แจงกระมลใน
นีมิตทั้งห้า เป็นเทววิสัย สุรางค์นางใน จุติจากสรวงสวรรค์
มีเทวบัญชา แก่อัครฉายา ผุสดีดวงจันทร์
ชวนไปชมสวน จิตรลัดดาวัน สระสรงน้ำนั้น สระโบกขรณี
นั่งข้างไสยาสน์ อำมรประภาษ ดูราผุสดี
เจ้าเป็นที่รัก แห่งข้าสวามี จงภคินี รับเอาวะรัง
ทศะวะโร ไว้เป็นสุขโข ตามมโนหวัง
พี่จะอวยให้ สัพมังคลัง พระนุชจงตั้ง ตามจิตเจตนา
โฉมนาฏผุสดี ได้ฟังโกสีย์ มีเทวบัญชา
เจ้าจึงทูลพลัน แต่ท้าวมัฆวา เกล้ากระหม่อมนี้หนา ประมาทสิ่งใด
ให้เคืองพระบาท แก่ท้าวเทวราช ชอกช้ำพระทัย
จึงจักนีราศ จากบาทหัสนัยน์ ขัดข้องหมองใจ โปรดแจ้งกิจจา
วรเทวสักโก ตอบพระวัจโน ดูกรกัลยา
เจ้าไม่ประมาท พลั้งพลาดอาตมา เท่าถึงเกศา ไม่มาหมองกาย
เจ้าผู้ทรงโฉม เป็นที่ปฏิโลม รำจวนใจชาย
เจ้าจักจุติจาก ฟากฟ้าเกิดตาย มนุษย์สุดสาย สืบสร้างสมภาร
ฉันท์ ๑๑
วรราชนาฏผุสดี ฟังโกสีย์แจ้งอาการ
อภิวันท์แล้วทูลสาร รับวะรังดังจิตใฝ
ปัถะโมวะโรข้า จะปลงชีพตัดไส
ขอให้ข้านี้ไป เป็นเอกอัครฉายา
แห่งเจ้ากรุงสีพี มีฤทธีเดชมหิมมา
ล้ำกระษัตรขัติยา ยศยิ่งในชุมพู
พรสองขอนัยนา ดังตราทรายอันงามตรู
คิ้วค่อมคันธนู ดูงามงอนพระพรตรี
พรหนึ่งจงประสาท ให้ชื่อนาฏผุสดี
คำรบเข้าเป็นสี่ ห้าประการขอบุตรา
ให้เป็นที่พำนัก แก่กระยาจกทั่วทิศา
สินทรัพย์แลโภคา ทรงกรุณาประชาชน
เป็นต้นดวงหทัย อีกทั้งนัยน์เนตรยล
โลหิตมังสาปน ทังเศียรศอแลวรกาย
ให้อวยซึ่งทานา ทั้งโภคามีมากมาย
จำแนกแจกเจือจ่าย ทลีทกเพิ่มพูนทาน
ให้มีเกียรติยศ ลือปรากฏทั่วทิศศาร
สุวรรณบรรณาการ ทั่วประเทศทูลเกล้าถวาย
พรหกเมื่อทรงครรภ์ อุทรนั้นอย่านูนกาย
พรเจ็ดนี้ขอให้ พระถันข้าอย่ายั่วยาน
พรแปดขอเกศา อย่าเป็นหงอกผิดสันดาน
ยังพรเก้าประการ ประสิทธิ์ให้ดังปรารถนา
ให้เนื้อลออองค์ วรผิวผ่องดังทองทา
พรนี้จงให้ข้า ได้สำเร็จดังใจจง
หนึ่งให้ข้าได้ปล่อย คนโทษหนักถึงชีพชง
โดยดังข้าประสงค์ ครบสิบบททศวโร
กาพย์ฉบัง ๑๖
ปางนั้นวีเชียรหัถโถ ครั้นสดับวัจโน สุนทรนาฏผุสดี
มโนภิรมย์เกษมศรี สุชำบ่ดี ประสิทธิ์ให้วะรัง
แก่นุชผุสดีโดยดัง จินตนานึกหวัง ก็กล่าวเป็นสารคาถา
ตามะถังปะกาเสนตา ดูกรสังฆา อันองค์มหามัฆพาน
เมื่อครั้งก่อนได้ทำทาน เป็นมานพชาญ เชื้อชาติสัปะรุษา
สร้างสระสวนศรีสาลา จำศีลภาวนา ก็ได้เป็นเทวราโช
จักสิ้นสุดชาติสักโก เอื้อนอวยวะโร แก่ผุสดีนาฎกัลยา
ทศพรสิบเก้าคาถา เป็นเรื่องความมา กัณฑปัทมังนิถิตัง