๓.กัณฑ์ทานกัณฑ์ ๒๐๙ พระคาถา
- รายละเอียด
- หมวด: เทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 31 สิงหาคม 2556 23:21
- เขียนโดย manop
- ฮิต: 3836
กัณฑ์ทานกัณฑ์
ฉบัง ๑๖
ผุสดีปิโขเทวี อันนางผุสดี
วรนาถผู้ราชมารดา
ได้ฟังวัจนังกิจา ว่ากรุงนรา
จะขับพระลูกจากจร
สะดุ้งพระทัยอาวรณ์ วรกายสายสมร
ตกตะลึงระรัวทั่วองค์
พระพันปีเจ้าจึงทรง จินตนานึกปลง
ตังฤๅมาเกิดกุลี
จำจักไปฟังคดี ดูให้รู้ทีว
ปราสาทพระราชบุตรา
คิดแล้วชักชายภูษา ซับชลธารา
เสด็จทรงสีภีกาโดยด่วน
เร่งรีบมาตามทางฉนวน ครั้นถึงที่ควร
ให้หยุดซึ่งสีภีกา
สดับโสตฟังเสียงปรึกษา ทั่วมนทีรา
ปรับทุกข์จะไปไกลวัง
พระพันปีเจ้าจงฟัง ละห้อยหัทยัง
ชลนัยน์ไหลคลั่งไนยนา
เสด็จด่วนขึ้นสู่ปรางค์ปรา- สาทสุวรรณา
กัลยาภีราบโศกี
สวมกอดยอดรักสองศรี ว่าเจ้าแม่นี้
คิดกระบดทุระยดอย่างใด
แต่จากอุทรเท้าใหญ่ สัธาเผื่อไผ
มีศีล..แต่จะเอ่ออ้วยทาน
ไตรพระเวทเวทมนต์ทุกประการ รู้จบชำนาญ
เคารพบิดามารดา
มิได้ประมาทวาจา กิจท้าวพญา
ก็ทรงทศพิธโดยธรรม
ควรหฤๅชาวเมืองกล่าวคำ เสียดส่อก่อกำม์
มจัดให้เจียรจากไกล
ตรัสปลอบโลมเล้าเอาใจ โอรสสองไท
เจ้าแม่อย่าได้โศกา
แม่จักไปทูลปุจฉา สญไชบิดา
บพิตรธ่คิดเป็นไฉน
ว่าแล้วเสด็จสู่เนาใน ยังปราสาทชัย
น้อมเกล้ากราบทูลภัสดา
ข้าแต่ผู้ปิ่นจักระรา พระโอรสา
ทำผิดด้วยกิจสิ่งใด
จึงจักนีรเทศเสียไกล ทรงคิจเห็นไฉน
ไยไม่ตำริตรอง
โอรสยศยิ่งสมพอง ไม่มีอื่นสนอง
พระองค์ทรงเป็นเพื่อนกาย
ถึงผิดควรคิจเสียดาย ลูกไว้สืบสาย
ดังฤๅจะขับบัพพา
ออกไปยังอรัญราวป่า วงกตสิงขรา
ตัดได้ไม่คิดสงสาร
ปางกรุงสญชัยนฤบาล จึงตอบพัชมาร
แก่โฉมวรนุชผุสดี
ว่าราชโอรสเรานี้ โทษให้หัตถี
ปัจไจยนาดเป็นทาน
ชาวเมืองเคืองแค้นทุกสถาน เสนาทวยหาญ
ก็ร้องทุกข์ราชโกลา
ถ้าพี่มิได้บัพพา เวสสันตรา
เสนาจะทำโทษเรา
ให้อยู่ในเงื้อมมือเขา ตราบท้าวสิ้นเย้าว
ชีวิตจะม้วยตัดไส
จึงจักไห้ไปอยู่ไพร ตามอัชฌาไส
ก่อนแล้วจึงกลับมาเมือง
ผุสดีโชงคาเคือง กราบทูลมูลเรื่อง
ว่าขัติวงศ์องค์ใด
ไม่มีโอรสสนองใน พิภพอันใหญ่
จะเสื่อมสกูลโรยรา
คือดังรวงผึ้งล้อนหา แม้ไม่รักษา
จะเกิดอุบาทสาตสูร
ภูมินทร์พร้อมสิ้นบริบูรณ์ ญาติวงศ์กระกูล
ดังนี้ก็ยากนักหนา
เปรียบดังรุกขชาติอำภา ทรงผลผ่ลา
ยามสุกตกกลาดปัตะพี
ฝูงสัตว์รับทานสะดวกดี ดุจพระบุรี
อันร้ายพระยาติวงษ์
ผ่านฟ้าอย่าเชื่อคนหลง มันแกล้งยุยง
จะให้นีรเทศวงศา
อันหนึ่งอิทฤทมหึมา ศีลเวทวิชา
ทนูศรแสงสังหาร
ขัติวงศ์องค์ใดบ่ทาน ศัตรูภายภาล
ก็จักพินาศอัปรา
งดโทษได้โปรดเกศา รับพระอาญา
ลูกข้าครั้งนี้ไว้ก่อน
บัดกรุงสญไชนรินทร ฟังนาฏดวงสมร
ผุสดีมีวาทจาบัลย์
ตอบพระเสาวนีย์ไปพลัน องการคือทัน-
ตาคดหอนหดหายงา
สู้หักเหียนตามเวรา กษัตริย์วัจนา
แล้วฤๅจักคืนคำไฉน
ผุสดีวีรีโยกร่ำไร วิงวอนเท่าใด
มิอาจจะเอื้อนจาบัลย์
เร่งทรงกันแสงโศกศัลย์ พิไรรำพัน
โอ้ว่าพระเวสสันดร
ควรฤๅจักจากพระนคร กรุงเชตอุดร
จะไกลอกแม่เข้าไพร
ชีพแม่ฤๅจักยืนไป เจ้าจากวันใด
วันนั้นแลเป็นวันตาย
จะเอาสไบเคลียวเป็นสาย ผูกคีวาหมาย
วิ่งลงตรงหน้าบัญชร
ให้ชีวาตมาม้วยมรณ์ โอเวสสันดร
กี่เมื่อพ่อได้มาเห็น
แม่แค้นแม่เคืองลำเค็ญ รำพึงคิดเห็น
จะอยู่ไปเยียใดดีมี
รำพลางกราบจรลี ถึงปราสาทศรี
พระราชโอรสา
บอกว่าแม่ทูลบิตุลา ท้าวไม่เมตตา
มาเชื่อพวกชาวสีพี
ทุกข์แม่หนักยิ่งแสนทวี ดังเมรุเข้าตรี
กูฎทับแทบทรวงมารดร
โอน่าเสียดายดวงสมร เจ้าเคยเสด็จจร
ด้วยสารเสวกโสภา
ลางคาบทรงรถรัตนา ขี่สีภีกา
พระราชยานธารทรง
พร้อมด้วยเสนาจัตุรง สหัสชาติยิ่งยง
อันมีกำลังรังเริง
เสด็จโดยมรรคมันบันเทิง เครื่องสูงระเหิง
แตรสังข์ประสานเสียงแห่
ทรงกาศิกพัสตร์พื้นแพร สีส่องดังแข
ระยับจับดวงดารา
ทรงผ้าโขมราขาตา อีกผ้ากัปปา
อุทุมพรพรรณบรรจง
แต่นี้ขวัญแม่จักทรง หนังพยัคฆ์หุ้มองค์
ยังผ้าเปลือกไม้คากรอง
เดินดงโดดเดี่ยวเปลี่ยวหมอง สู่สิงขรคล่อง
อรัญเวศหิมพานต์
ฝูงสัตว์จัตุบาทวิสาล มฤคเป็นบริวาร
ต่างแสนสหัสชาติโยธา
เอาเสียงจักจั่นสักกุณา ต่างเสียงเสภา
ดุรีย์ปี่แก้วแตรงอน
ยามย่ำแสงสิ้นทินกร ใบพฤกษลาดนอน
ท่อนไม้มาวางต่างเขนย
ทุกข์แม่นี้ล้ำลูกเอ้ย ทันแม่มิเคย
นีราศปราศจากเวียงวัง
มัทรีศรีสะใภ้แม่ดัง หทัยนัยนัง
เจ้าจักจรตามสามี
โอว่าแม่น่าปราหนี วรบาทมัทรี
นุ่มนวลเนื้อสุขุมมาลย์
จรลินลาศในไพรสาณฑ์ เหยียบกรวดกรอกธาร
ตอไม้ใต้น้ำหนามหนา
บุกแฝกแยกทุ่งหญ้าคา คมบาดบาทา
โลหิตหยดย้อยหยดไหล
แต่เสด็จอยู่วังยังใส่ ฉลองบาทเนาใน
ไพรพฤกษ์จะเดินเปล่าคาย
ไม่เคยเสว้ยโภชนสาย แต่นี้ศรีสะใภ้
จักทรมาหาผลาดง
เจ้าเคยเสวยโภชน์ผ่องพงศ์ สุพรรณภาชน์ทรง
รองรับสุพเพียรมังสา
ละเสียไปเสวยผลผลา พรรณพฤกษาป่า
หวานส้มฝาดเปรี้ยวเมาเบือ
ทุกในไพรเวศนี่เหลือ ขาดแค้นใครจะเจือ
จะช่วยพยุงลูกยา
เคยอยู่ในเวียงวังอลังการ์ ไปอยู่เคหา
อรัญเปล่าเปลืองเอองค์
สามกษัตริย์โทมนัสพิศวง ละห้อยไห้ทรง
พิลาปก็พ้นพรรณนา
ฝ่ายสนมกรมในซ้ายขวา ท้าวนายโขลนจา
ได้ยินเสียงนาถผสุดี
ร่ำไห้รัดโอรสศรี สะใภ้มัทรี
อันจักวีรีโยคเดินดง
เหล่านางกำนัลบรรจง ต่างคิดพิศวง
งงงวยระทวยระทดใจ
ต่างให้โศกาอาลัย อื้ออึงคะนึงใน
พระมณเฑียรท้าวลงกา
จนจบพิภพถานา เชตอุดรมหา
นครวรราชสีพี
แต่ก่อนแสนสนุกยินดี ด้วยเสียงดนตรี
ปี่พาทย์แลเพลงขับรำ
ครันแจ้งเหตุว่าเขาทำ บัพพาชนีย์กำ
จัดเจ้าผู้จอมใจอารย์
ชาวเมืองเคืองแค้นรำคาญ สดับสัพเสียงสาร
ครวญคร่ำร่ำรักราชา
ม่มรนีนันกันมา ทรหวลโหยหา
โกลาหลจบพระนคร
เศรษฐีพราหมณ์ชีนีกร ราษฎร์สมภักสร
ลูกค้าแลพานิชชา
ร้องร่ำพิไรพรรณนา ว่าเวรเวรา
สิ่งใดมาทันแทนสนอง
มามล้างรุกข์โพธิ์ไทรทอง อันเป็นที่ปอง
ร่มรื่นร้อนมาอาศัย
เย็นเกล้าได้ดับระงับภัย เมื่ออุปไมย
ดังต้นกำมพฤกษ์สาขา
สารพันอันจักเจตนา ได้ตามปรารถนา
กระยาจกทลีทกเข็ญใจ
ควรฤๅจักนีรเทศไป สู่สิงขรไพร
เอองค์ทรงบรรพชา
อันชาวเชดอุดรมหา ร่ำไห้โศกา
มากมายพรรณนาอาวรณ์
ครั้นไขแสงสิ้นทินกร หน่อพระชินวร
ธานาธิเบศพุทธพงศ์
ชำระสระสน้านอ่าองค์ ปิลันธนะทรง
ราชาประดับสรรพสรร
เสด็จสู่โรงทานทรงัน ทรงเจตนาอัน
จะให้สัตสดกเป็นทาน
อันชาวภูษาพนักงาน ลำดับเตรียมการ
ละสิ่งละเจ็ดร้อยตรา
กุญชรพังพลายมีงา กัณฐัศว์อัศวา
รจนาละไมไพบูลย์
โคนมโคผู้ล้านตระกูล อุสุภราชนานูน
นันเนกก็งามบวร
ทาสีทาสาสโมสร วัตถาอาภรณ์
ประดับสรรพสมกายี
เครื่องใช้สรรพสิ่งอันมี อเนกถ้วนถี่
สุวรรณรัตนชฎา
ทองข้าวต่างสีถมย้า โถถาดภาชนา
พานทองชันเจียดกระบี
ราชรถเปรียบรถรังสี มีนาฏกระษัตรี
สุนทรวรลักษณ์โสภา
รถหนึ่งนางหนึ่งกัลยา นุ่งห่มภูษา
สอดสร้อยสังวาลกุณฑล
ดังนางอำมรมาดล กษัตริย์ใดได้ยล
วิมลโฉมราชนารี
ลืมรักอัคเรศสาวศรี ประฏิพัทธยินดี
นางในพิชัยรถทรง
สุราพระจินตนาปลง ให้ทานคนหลง
รู้ว่าจะเป็นเวรา
ขี้เมามันจักนินทา ว่าแกล้มสุรา
จะกินซักนิดไม่มี
สั่งให้แต่งไว้ถ้วนถี่ เนื้อพล่ายำดี
ให้ครบสรรพสรรบรรจง
สุรางคนางค์ ๒๘
ขณะนั้นธิเบศ สมเด็จพระเวส สันดรอรองค์
สถิตยังศาลา ฉทานท้าวทรง แจกจ่ายทรัพย์ส่ง ให้แก่ทลีกา
ยังแต่ราชรถ อันงามอลงกต ด้วยนาฎกัลยา
จึงร้อนถึงอาสน์ อำมรินทรามา ดลใจราชา สามลทุกองค์
เจ็ดร้อยนัคเรศ มาด้วยฤทธิ์เวท ทย่อทางตรง
รับเอาพระทาน นางกระษัตรอันทรง รถแก้วเอี่ยมองค์ ไปยังพารา
สมเด็จพระเวส ธานาธิเบศ โสมนัสปรีดา
เมื่อให้สัตสดก อัชฌติกทานา แล้วตั้งสัตยา นุสัตย์หลั่งชล
ลงในปัตะพี ให้เป็นศักดิ์ศรี ทานาผลาผล
เท่าสิ้นอวสาน อย่ามีมารผจญ เป็นอัปมงคล ในอนาคตกาล
คงคาธรณี จงเป็นสักขี คือทิพญาณ
จงช่วยผจญ ฤทธีพลมาร ขอให้ได้ผ่าน ซึ่งรัตนบัลลังก์
จบอธิษฐาน ธรณีบันดาล โกลาหะลัง
สะเทือนเลื่อนลั่น ตลบจบทั้ง เหมือนกล่าวแต่หลัง พึงฟังเข้าใจ
สายัณห์ตะวันลับ พระองค์เสด็จกลับ เข้ายังวังใน
รัตนาปราสาท แห่งนาฏทรามวัย ตรัสชวนอรไท ไปบังคมลา
ฝ่าละอองสองบาท ขออนุญาต ไปทรงบรรพชา
แล้วเสด็จจรลี ทั้งสี่กระษัตรา ถึงปรางค์บิตุลา นอบนบอภิวันทน์
ชนกชนนี พร้อมกันทั้งสี่ โพธิสัตว์จาบัลย์
ข้าพระพุทธเจ้า ลาเข้าพนาสัณฑ์ หิมพานต์เป็นบรร พชิตฤาษี
ขอพระนิฤๅทุกข์ อยู่เย็นเป็นสุข ครองราชย์โภคี
ไอสูรย์สมบัติ พิพัฒน์เกษมศรี ด้วยราชกระษัตรี ขับรำสำราญ
แสนสาวกำนัล แปดหมื่นสี่พัน เป็นยศบริวาร
ภิรมย์สมสุข สนุกในเบญการ เสนาน้อมกราน กราบทูลยุยง
ว่าลูกทำผิด ลาไปบรรพชิต สร้างพรตในดง
ตามน้ำใจปอง ของพวกจัตุรงค์ ได้ดังจำนง หลงในสงสาร
อันองค์ผ่านฟ้า คือดังพญา หงส์ทองชมธาร
อยู่ในเปือกตม ชมว่าสำราญ แต่เกล้ากระหม่อมฉาน จะขอลาไป
ว่าแล้วกราบบาท ขอทรงอนุญาต ชนนีศรีใส
สมเด็จผุสดี มีมโนไหว หวาดหวั่นพระทัย ด้วยพระลูกยา
มีพระเสาวนีย์ ตรัสเล้าโลมศรี โอรสเสน่หา
เจ้าจากรัชชัง เวียงวังปรางค์ปรา สู่สิงขรา วงกตคีรี
แม่นี้ขอไว้ มัทรีศรีสะใภ้ กัณหาชาลี
สองราชวรนุช บุตรามารศรี อยู่ด้วยอัยกี อัยกาเพื่อนองค์
จักพาไปไย เดินดงพงไพร สู่สิงขรวง
ให้เป็นวิตก อกพ่อจะทรง บรรพชิตกิจสงฆ์ สำรวมวรกาย
พระโพธิสัตว์ ฟังเสาวนีย์ตรัส ทูลตอบภิปราย
ว่าเจ้ามัทรี ศรีสุนทรกาย ไม่มีระคาย ผิดหมองสิ่งใด
ตามใจกัลยา จิตเจ้าเจตนา จะอยู่หรือไป
ลูกนี้มิขัด ตามอัชฌาศัย สุดแต่พระทัย นุชนาฏปรารถนา
กัณหาชาลี กุมารสองศรี ยังเยาวยุพา
ดังลูกเนื้อน้อย ภักษ์ภุญช์ขีรา จะจากมารดา ชีวาหรือคง
จึงพระมัทรี ยอกรชุลี กราบบาทบทบงสุ์
ทูลว่าตูข้า เกิดมาในวงศ์ มัทราชยิ่งยง สมศรีตระกูล
ได้เป็นบริจา พระเวสสันตรา กุศลเพิ่มพูน
สู้ตายไม่พราก จากเบื้องบาทมูล ขอลาพระทูล กระหม่อมจอมไตร
โดยเสด็จตามผัว ป่าดงพงกลัว ห้องหิมวาลัย
เดินดานดงชัฎ สิงสัตว์ในไพร ที่ข้องปองร้าย เป็นเพื่อนจรลี
กาพย์ยานี ๑๑
สญชัยไตรภูวนาถ ฟังวรราชนาฏมัทรี
ขอตามพระสามี เสด็จจรสิงขรวง
จึงตรัสว่าภัทเท ศรีสะใภ้วรอนงค์
มัทราชเอองค์ ยศศักดิ์ยิ่งขัตติยา
มีบาทอันอ่ออ่อน วรเนื้อสุขุมาลย์
มีกายสุนทรรา มีมโนสยองภัย
แต่เจ้าอยู่เวียงวัง ฟังแต่เสียงสุนัขใน
เห่าหอนถอนพระทัย ประพรายพรั่นขวัญบ้าบิน
จะเดินดงหิมเวศ เที่ยวทุเรศทางไพรสิณฑ์
ศรีสะใภ้จะได้ยิน เสียงพาฬพยัคฆ์จักตกใจ
ราตรีชะนีเอ่ย เว้ยเว่ยร้องย่อเยือกไพร
ห้อยโหยโยนตัวไป หาคู่ร้องก้องสนั่น
นิทราเพลาดึก พาลมฤคคชสารสัน
คลุ้มคลั่งบ้าซับมัน รุมร้ายรุกเร้าร้านโขลง
สงัดเสียงเรไรร้อง ภูตเที่ยวท่องผีป่าโปง
ฟันขาวเกล้าโสยง โองโอร้องระงมไพร
ได้สดับสรรพเสียงผี มัทรีพ่อจะตกใจ
นิทราฤๅหลับใหล ในดงดอนจะอ่อนองค์
จะเที่ยวแสวงหา ผลาพฤกษ์ในไพรระหง
เกรงเกลือกพยัคฆ์ยง ร้ายคะนองปองบีฑา
ประการหนึ่งเหล่าไกรสร จรจากรัตนคูหา
โผนผาดแผลงฤทธา ทำสิงหนาทคุกคำราม
มนุษย์แลสิงสัตว์ จัตุบาทก็เข็ดขาม
โตเต้นเต้าไต่ตาม พนาเนินเชิงเทินเขา
เคี้ยวฟันขันแข็งขบ หนวดเคราครบตาโตช่เมร้า
กลับหลอกลอกไล่เอา คนเป็นภักษ์รักษาตน
อัจฉาอันว่าหมี ขึ้นไม้หนีก็ไม่พ้น
ติดไต่ตามตบต้น ถีบถึงยอดกอดกัดกิน
เจ้าอยู่บุรีรมย์ ชมสมบัติแม้นเมืองอินทร์
จะตามเต้าเข้าไพรสิณฑ์ กินผลไม้ต่างอาหาร
มัทรีศรีศุภลักษณ์ องค์เอกอัครได้ฟังสาร
สญชัยไทนฤบาล พ่อผัวตรัสพัจนา
เจ้ากรุงกราบทูลทัด เป็นมัธุรสวาจา
ข้าแต่ณเบญทรา ปิ่นปกเกล้ากรุงสีพี
ซึ่งตรัสห้ามกระหม่อมไว้ มิให้ไปด้วยสามี
กันดารเดินพงพี ตรัสทั้งนี้ก็ควรอยู่
ในอกมัทรีหมาย แม้นยากไร้จะขอสู้
ตายตามติดพระภู วนาถเนื้อนรินทร
ยามสุขสิร่วมสุข แสนสนุกสโมสร
ยามเมื่อมีทุกข์ร้อน ถอนใจครากออกหากหนี
อันว่าธรรมดาหญิง ศรีเสาวภาคกระษัตรี
จัดหาซึ่งสามี ภาพให้สมปรารถนา
ยากนักที่จักได้ เมื่อใดแลเพียรพยา
เหมมันเพื่ออุษา อาบน้ำเช้าแรมเริ่มสมัย
คิมหันต์ฤดูร้อน ข้อนขืนแข็งเข้าผิงไฟ
ให้โลหิตซ่านซุ่มใน ชูสีเนื้อสุกสุนทรา
เอาไม้กระดูกค่าง โคตีข้างสองต้นขา
เอวกลมสมรูปา ตะโพกผายชายชอบใจ
เช้าค่ำพร่ำทำเพียร ให้บุรุษพิศมัย
สามีที่อาลัย ใครใครร้างแรมภัสดา
เว้นไว้แต่หญิงพาล จัณฑาลโจรพีรียา
เป็นม่ายสบายอา- รมณ์ชมชู้ชายแกมผัว
เป็นคนหรชาฎ บ้าตัณหากิเลสมัว
ไม่อิ่มไม่อายกลัว ภัยในวัฏสงสาร
อันข้ามัทรีบุตร มัทราชภูบาล
สู้เสียชีพสันดาน ห่อนฤๅไว้ความครหา
ธรรมดาว่าหญิงม่าย ฤาเว้นชายมาฉันทา
บริภาษจำนรรจา เยาะเย้าเล่นโลมเลียบชม
ถึงมีพี่น้องชาย มิตรสหายวงศาสม
อาจกั้นซึ่งคารม คำคนเคียดกล่าวครหา
ความชั่วแห่งหญิงม่าย ยิ่งลามกติดกายา
จะล้างขัดสีทา ลามกฤๅจะหายกลิ่น
สู้ตายขอไว้ชื่อ ให้ลือไว้ในธรณิน
โดยข้ามัทรีจิน- ตนาในกมลมาลย์
อุระข้าจะต่างพร้า พักตราจะต่างขวาน
ตัดฟันแผ้วรันราน ไม้รุกขาหญ้าคมบาง
ให้พระสามีเจ้า จรเต้าตามแนวทาง
เป็นหญิงม่ายผัวร้าง ฤๅเห็นงามแก่กษัตรี
แม้นว่าประทานให้ ครองพิภพกรุงสีพี
เป็นสุขสวัสดี ข้าพระบาทไม่ปรารถนา
ขอลาพระบิตุราช วรบาทมาตุรา
โดยเสด็จตามสวา- มีภูวนาถนิราศเมือง
ปางเจ้ากรุงสีพี พระผุสดีฟังคำเคือง
สลดจิตคิดงงเงือง ตันอกแน่นแค้นอุรา
จึงตรัสว่ามัทรี พระชาลีแก้วกัณหา
ยังอ่อนเยาว์ยุพา แน่งน้อยนักจักเอาไป
อรัญเวศเขตข้วงพง คีรีวงกตไฉน
เหลือบร่านริ้นยุงไร แมลงวันผึ้งตั๊กแตนตอม
จะได้ทุกขาเพศ ในหิมเวศจะผ่ายผอม
ไข้ขุกจะทุกข์ตรอม พระทัยเจ้าทั้งสองรา
ให้อยู่พระบุรี ด้วยอัยกีแลอัยกา
เพื่อได้จะทัศนา ชมหลานรักต่างพักตร์สอง
วรราชนาฏมัทรี กรชุลีแล้วทูลสนอง
ลูกรักข้าทั้งสอง ยิ่งกว่าดวงหฤทัย
แม้นจากสักกึ่งยาม ความรักลูกสุดอาลัย
ถ้าจากเจ้าเมื่อใด อุระร้อนเพียงตัวตาย
จะพาเอาไปด้วย เป็นเพื่อนม้วยชีวาวาย
ขุกไข้ได้เห็นสาย สวาทเจ้าเพียงทิพย์ยา
แม้นร้อนอุทรกลุ้ม ดังทิพรสมาทรงทา
จะไปไหนเหนื่อยมา ดังได้หยิบเครื่องทิพย์เสวย
มิได้จะแข็งขัด พระโองการผ่านฟ้าเลย
สองเจ้าเล่ามิเคย จากอกแม่แต่จะร่ำหา
สญชัยไตรภูวนาถ ผุสดีราชผู้มารดา
ได้ฟังโอรสา ศรีสะใภ้พิไรทูล
มิอาจจะตามตรัส ในโทรมนัสเนตรนองนูน
โศกาเร่งอาดูร ด้วยกษัตริย์ขัตติย์วงศ์
๒๑
ปางพระบรมพุทธิพงศ์ มัทรีสุนทรีโฉมยง
ทรงพระพิลาปพลางทูลลา
กรอู้มวรแก้วกัณหา กรหนึ่งอู้มซึ่งพิ่ยา
ชาลีกุมารราชสุริย์วงศ์
มาขึ้นเวชไชยราชรถทรง กุมารทั้งสองอนงค์
คอยรับเสด็จพระภัสดา
บัดพระโพธิสัตว์ก็อำลา ชนนีแล้ว ธ ก็มา
ทรงราชรถนรังศรี
ดุมวงกงกำพลอยมณี แปรกแอกงอนงามรูจี
ทั้งสามวีโบกสะบัด
เทียบด้วยอัสดรแอกรัตน์ ม้ามิ่งมงคลหัตถ์
สุวรรณรัตน์ราชรถทรง
บ่ายหน้าพิชัยรถยศยง ออกจากเชตุอุดรตรง
สู่สิงขรวงกตหิมพานต์
วรนาฏผุสดีศรีสะคราญ ว่าพระโอรสบำเพ็ญทาน
ให้นายนักการจัดเอาทอง
สัตตนพรัตน์ข้าวของ บรรทุกเต็มเกวียนทอง
ไปถวายสองพระโอรสา
สมเด็จพระเวสสันตรา อวยทรัพย์ให้เป็นทานา
แก่หมู่ทลิกานรากร
พลางให้โอวาทความสั่งสอน แล้วบ่ายรถมณีจร
จากพระนครกรุงสีพี
มโนนึกจะทัศนากรุงธานี เวียงวังทั้งปรางศรี
แห่งพระบิดุราชมาตุรา
พระธรณีดังมีจิตวิญญาณ์ แยกพลันหันราชรถา
กลับให้ทัศนาดูเวียงวัง
อัศจรรย์บันลือโกหะลัง พระองค์มีวัจนัง
แก่วรราชนาฏมัทรี
ว่าเจ้าจงดูพระบุรี ปรางค์ปราสาทรัตน์มณี
อันแสนสนุกกรีฑารมย์
กรุงกษัตริย์พระองค์ใดอันอุดม ประกอบไปด้วยแสนสาวสนม
ก็ภิรมย์รื่นชื่นชูใจ
ตรัสพลางกลับราชเวไชย รถทรงบ่งพระเนตรไป
ตามมรคาลัยในแดนดง
นรากระยาจกเต้าตามส่ง พระทานประสาทธนะทรง
ให้สิ้นทั้งองค์ถึงเจ็ดถา
ยังมีพราหณสี่คนมา ไม่ทันรับสัตสดกทานา
แล่นตามมาทันทูลขอ
อัสดรวรพาหะอันพึงพอ พระทัยท้าวเธอยกยอ
ม้ามิ่งมงคลประสาท
งอนรถอยู่บนอากาศ พราหมณ์พาสินธพชาติ
ด้วยอำนาจพระโพธิญาณ
๑๖
เทวรูขท้าวในสถาน เคืองกมลมาน
ทำทีนีรมิตกายา
เป็นละมั่งทั้งสามตัวมา เทียมแอกรถพา
ดังอาชาชักนำไป
ตามทางรัถยาพนาลัย สี่กษัตริย์คลาไคล
ขับรถรังศรีลีลา
ดังมีพราหมณ์พฤฒาจารย์ เสด็จลงสู่สถาน
ภูมิภาคพื้นธรณี
จึงตรัสแก่พระมัทรี เจ้าชาลีศรี
ศุภลักษณเจ้าหนักยิ่งกว่า
น้องนาฏวรแก้วกัณหา ยังเยาวยุพา
จงเจ้ามาอู้มภัคคินี
พี่จักอู้มเจ้าชาลี เสด็จตามมรคี
สู่สิงขรหวังดังเด้า
ตามเทินเนินแนวลำเนา มุ่งไม้หมายเขา
วงกตบรรพตคีรี
สี่กษัตริย์โสมนัสยินดี ท่ามกลางมรคี
ก็ค่อยดำเนินลีลา
ทานกัณฑ์สองร้อยเก้าคาถา ถานิถิตา
ตามพุทธโอวาทัง
สาธะสัปปุรุษจงฟัง กล่าวตามวัจนัง
วันประเวศน์ต่อไปเถิดหนา