๔.กัณฑ์วนปเวสน์ ๕๗ พระคาถา
- รายละเอียด
- หมวด: เทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 31 สิงหาคม 2556 23:21
- เขียนโดย manop
- ฮิต: 3827
กัณฑ์วนประเวศน์
เตปัตติปัถา อันศรีขัตติยา
จรเต้ามาตามมรรโค
จึงเห็นนีกรชโน เดินดั้นอรัญโญ
ประเทศเต้าไปมา
มีพระโองการปุจฉา ถามถึงมรคา
จะไปสู่คีรีวง
ชนชาวเจตราษฎร์เดินดง ทูลว่าทางพง
ก็ไกลสุดไกลกล่าวมา
ขอทราบใต้เบื้องบาทา ถ่องแถวแนวป่า
กันดารพาฬมฤคพยัคฆ์มี
ปางเจ้ากัณหาชาลี ยลพฤกษาศรี
ผลสุกชุกช่อชายทาง
ทูลวอนฉะอ้อนไห้พลาง ขอผลปริงปราง
อัมพาอินจันกัทลี
บรมโพธิสัตว์มัทรี มโนปรานี
เพื่อจักหักผลพฤกษา
ไม่พักหักยุดฉุดคร่า เดชะโพธิยา
ก็อ่อนน้อมค้อมลงเอง
ช่อชุกสุกห้อยรเสง ตุ้งติ้งโตงเตง
อยู่ใกล้พระกรทุกพันธุ์
มัทรีเห็นเหตุอัศจรรย์ โสมนาจาบัลย์
ทูลท้าวผู้เป็นภัสดา
สั่งเสียบรมโพธิยา ปรากฏสองถา
ทั้งไม้แลรถอัศจรรย์
พระเสด็จเมินมุ่งผายผัน ถับถึงเขตขัณฑ์
กรุงเจตราษฎร์นคร
กับกรุงพิชัยเชตอุดร โดยมรคาจร
ได้สามสิบโยชน์คณนา
สี่กษัตริย์ถึงบรรณศาลา ประตูนัครา
เจตราษฎร์เธอเข้าอาศัย
มัทรีศรีสุนทรประไพ ทรงจินตนาใน
โดยเสด็จดำเนินออกมา
นั่งหน้าพระบรรณศาลา หวังให้ชนา
ปรากฏพระยศฦาข่าว
ถึงกรุงกษัตริย์ทั่วด้าว แดนหกหมื่นท้าว
อันทรงพิภพเป็นใหญ่
ชนานิกรมาไป เห็นนาถหน่อไท
มัทราชผู้ราชธิดา
ผู้หญิงวิ่งกรูกันมา ถึงนบบาทา
พรั่งพร้อมล้อมองค์บริบาล
จึงเอาประพฤติข่าวสาร แจ้งท้าวผู้ผ่าน
พิภพทั้งหกหมื่นองค์
กษัตริย์ทั่วท้าวได้ทรง ทราบกิจพิศวง
ก็ชวนกันเสด็จลีลา
ถับถึงพระบรรณศาลา เห็นหน่อนรา
อีกโอรสามัทรี
พลัดมาเปล่าดายไม่มี พวกพลโยธี
ซึ่งจักติดตามเสด็จมา
คิดน่าอนาถหนักหนา หกหมื่นขัตติยา
ก็ทรงวิโยคโศกศัลย์
ใช่แต่ขัตติวงศ์พงศ์พันธุ์ บรรดามานั้น
หญิงชายก็ไห้โศกา
สมเด็จพระบาท เจ้ากรุงเจตราช หกหมื่นราชา
น้อมศิโรตม์ราบ กราบบาทพร้องจา ทูลว่าผ่านฟ้า มาไยแต่องค์
ถึงเขตเจตราช แห่งข้าพระบาท ........................
เสื่อมเสียเกียรติยศ ปรากฏยิ่งยง เสียแสนสุริย์วงศ์ ข้าคนพลไกร
ม้ารถคชา สหัสชาติโยธา จัตุรงค์ชาญชัย
ฉิบหายตายม้วย ด้วยเภทโพยภัย ทุกข์ยิ่งสิ่งใด โดดเดี่ยวเปลี่ยวมา
แต่องค์กับนาถ มัทรีศรีสวาท แลสองเยาวราช์
ไม่มีเกือกทอง ฉลองวรบาทา สมเพชเสดษา เสียเมืองฤๅไฉน
เวสสันตรัง ได้สดับกิจจัง เจตราชปราศรัย
จึงบอกว่าเรา พรากจากสุรีไอย์ ไม่มีอรีภัย เบียดเบียนบีฑา
ความผิดติดกาย ด้วยเรานี้ให้ ปัจจัยทานา
คเชนทร์เป็นทาน แก่พราหมณ์ภิกขา อีกเครื่องคชา ประดับสรรพส
ชาวเมืองจึงโกรธ ชวนกันกล่าวโทษ พร้อมสิ้นทุกกรม
ขับเราเสียจาก พรากบุรีรมย์ เสียแสนสาวสนม กันดารดงมา
ถึงบุรีทาน จงแจ้งอาการ ซึ่งเราเจตนา
จะไปวงกต บรรพตบรรพตา สร้างพรตจรรยา ยังป่าหิมพานต์
รันยังฟังตรัส หกหมื่นกษัตริย์ ทูลแจ้งแสดงสาร
ว่าชาวสีพี นีรเทศภูบาล ได้ทุกข์ทรมาน แค้นเคืองพระทัย
ได้โปรดเกศา อย่าเสด็จหิมวา ให้ลำบากใจ
เกล้ากระหม่อมยอมถวาย เจตราชเวียงชัย พิพัฒน์โภไคย ทุกสิ่งสมบูรณ์
เวสสันดรราช จึงตรัสพจนาถ แก่ราชตระกูล
เราไม่เจตนา สมบัติทั้งมูล อยู่ป่าเพิ่มพูน โพธิญาณดีกว่า
เจ้าเมืองเจตราช ทูลว่าข้าบาท จะนำคมนา
ไปสู่บุรี ศรีภิรมยา ทูลพระบิดา ให้งดโทษกรณ์
ถ้าชาวสีพี แข็งขัดจักกรี ฑาพาพลนิกร
ตีชิงพารา ถวายแก่ภูธร พระอย่าเสด็จจร ให้ลำบากกาย
สมเด็จพระเวส แจ้งประพฤติเหตุ ตรัสตอบภิปราย
ท่านว่าดังนี้ ตามมีมโนหมาย รักเราจะถวาย คำเคืองครหา
ว่าเวสสันดร ขับเร่พเนจร ไปบรรจบพา
ชาวเมืองเจตราช ให้ยกพลมา ทำเป็นโกลา สงครามตามผจญ
ท่านว่าทั้งนี้ เราก็มิยินดี ขอบใจทุกคน
แต่ยังไม่เท่า แนะนำตำบล รัญวาพนาสณฑ์ คีรีสิงขร
พญาเจตราช ฟังอรรถพจนาถ พระเวสสันดร
ทรงโศกาดูร มิอาจจะทูลวอน ตกแต่งเตียงนอน ม่านมุ้งเพดาน
กางกั้นพาไล ให้ท้าวอาศัย ทั้งสี่มินาน
ถวายเครื่องศุภเพียญ ทุกสิ่งตระการ สี่กษัตริย์สำราญ ในบรรณศาลา
สมเด็จพระเจ้า เวสสันดรท้าว เข้าสู่นิทรา
ราตรีครั้นรุ่ง พุ่งแสงสุริยา ตรัสชวนพนิดา โอรสสองสาย
ทรงเสวยโภชนา อันกรุงกษัตรา เจตราษฎร์มาถวาย
เสร็จแล้วแต่งองค์ บงพระพักตร์บ่าย มาตรัสภิปราย ลาท้าวเจตราช
แล้วเสด็จบทบาท สี่องค์ลินลาศ ออกจากศาลา
เสด็จโดยวิถี หกหมื่นขัตติยา นำเสด็จไคลคลา มุ่งไม้หมายเขา
หกหมื่นพญา เจตราษฎร์ราชา แนะนำลำเนา
แวดล้อมพร้อมมา ตามมรคาเก่า สิบห้าโยชน์เข้า เขตไพรประตูป่า
พญาเจตราษฎร์ จึงทูลประกาศ โดยสารคาถา
ข้าแต่พระเจ้า หน่อเหน้าพุทธา กษัตริย์บัพพา ไปเป็นฤๅษี
สร้างบรรณศาลัย กองกุณฑ์ก่อไฟ ไหว้เปลวอัคคี
แทบตีนบรรพต วงกตคีรี ตามเกล้ากระหม่อมชี้ ตรงนี้เชิญไป
อะยังมัคโค อะกุชิโน ถ่องแถวแนวไพร
จนถึงอาศรม บรมเจ้าไท จากแต่นั้นไป กระทั่งถึงภูผา
วิบูลบรรพต มีไม้ปรากฏ พันธุ์ รุกข์นานา
พ้นแต่นั้นถึง แม่น้ำฉานฉา ชื่อโกติมหา บดีนัดที
เชี่ยวใสไหลมา แต่ตรอกซอกผา บูรพ์บรรพตคีรี
กระทบกระทั่ง โกหะลังวารี ทั่วลาดหาดมี กรวดแก้วแกมกัน
เสด็จลงสรงสนาน เย็นเฉื่อยฉ่ำปาน ทิพรสในสวรรค์
พ้นจากนั้นไป ชมไพรพนัสสัน มีโครธาวัน ใหญ่ขึมมหึมา
มีผลผลาหวาน ดังหนึ่งเจือจาน ทศกรฉาบทา
ทอดเงื้อเหนือเกล้า ร่มรื่นสาขา ดังแกล้งรจนา กิ่งก้านแกมใบ
แล้วจักได้ทศ สนาวันบรรพต ศิลาละไม
มีถ้ำคูหา ปักษาอาศัย กินนอนเนาใน ไพรพฤกษ์ดานดง
ล่วงเข้าพนาลี ถับถึงขรณี มุจลินทร์สระสรง
มีบัวเบญจพรรณ ดังสรรบรรจง โกมุทบุษบง มากมายหลายพันธุ์
ฝ่ายอิสานทิศ ขอจงบพิตร แต่งตั้งพระบรรณ
ศาลาอาศัย สร้างสมพรหมจรรย์ ใกล้แนวเนินนั้น สระโบกขรณี
กษัตริย์กรุงเจตราช อภิวาททูลมรคี
พรรณนาหิมวาลี สิงขรธารท่าสระสรง
เสร็จแล้วรำพึงคิด ว่าปัจจามิตรอันยุยง
จะตามไปในดง ปลงชีวาตมามรณ์
หนึ่งพราหมณ์ผู้ภิกขา จะเพียรพญาเร่สัญจร
มาขอสองสายสมร วรราชนาฏมัทรี
จะให้เกิดวิตก แก่สมเด็จนาราชี
คิดแล้วเธอก็มี บัญชาเรียกเจตบุตรมา
สั่งว่าเว้ยเจตบุตร มึงก็สุดนายพรานป่า
เป็นใหญ่ในหิมวา กรุงเจตราชพระนคร
จงอยู่ประตูป่า รักษาด่านคอยคนจร
จะทำให้อาวรณ์ แก่หน่อเหน้านฤบดี
สำรวมอิริยาบถ กำหนดเป็นพระฤๅษี
ท่านจงเปล่งภักดี ช่วยภิบาลด่านดงป่า
สั่งแล้วจึงเจ้าเมือง เจตราชหกหมื่นลา
พระเวสกษัตรา คืนคมนามาเวียงวัง
ส่วนพระโพธิสัตว์ มัทรีราชบุตรตัง
ไต่เต้าตามมรรคคัง ล่วงไปพ้นประตูป่า
ลุถึงวิบูลย์บรร พตโดยอันกล่าวพรรณนา
ข้ามเขตสิงขรมา ถึงแม่น้ำเกตุมดี
เสด็จลงสรงสนาน สำราญด้วยลูกสองศรี
อีกทั้งพระมัทรี ศรีศุภลักษณ์อัครชายา
ส่งเสร็จเสด็จนั่ง ยังร่มรุกข์ที่ใบหนา
พรานไพรเอามังสา เนื้อทรายย่างเอามาถวาย
กับด้วยรวงผึ้งสด อันมีรสยิ่งทั้งหลาย
รับเสวยแล้วท้าวบ่าย พระพักตรามาสู่พราน
จึงชักเอาปิ่นแก้ว จากพระเศียรให้เป็นทาน
แล้วเสด็จจรจากสถาน โดยลำดับมรคา
อันพญาเจตราช ทั้งหกหมื่นพรรณนามา
ลุถึงฝั่งสระรา มุจลินทร์ทิศอีสาน
มรคานั้นก็น้อย รอยพระบาทเดียวเดินกันดาร
ล่วงพ้นไพรพนัสสาร ก็ลุถึงโบกขรณี
อันรับสายแม่น้ำ น้อยใหญ่ไหลแต่คีรี
เติมเต็มฝั่งสระศรี รุกข์ร่มรื่นชื่นพระทัย
ปางพระบรมโพ- ธิสัตว์เจ้าก็เนาใน
ฝั่งสระสำราญใจ แทบใกล้วงกตคีรี
บันดาลร้อนไปยัง บัลลังก์อาสน์ท้าวโกสีย์
แต่ก่อนอ่อนสำลี นี่กระด้างอย่างศิลา
วิบัติปัจถรณ์ อมรส่องซึ่งนัยนา
ยังพื้นพสุธา จึงแจ้งเหตุเวสสันดร
ออกไปสร้างทรงพรต ในวงกตเนินสิงขร
จึงองค์อำมรินทร บัญชาใช้ซึ่งเทวา
อันชื่อพระวิศนุ- กรรมเทวบุตรให้ลงมา
นิรมิตบรรณศาลา ที่จงกรมแลโรงไฟ
สำหรับจะทรงพรต ดาบสินีที่อาศัย
บันดาลสถานไพร ปราศจากทุกข์พูนสุขา
เทเวศร์วิศนุรับ คำอำมรินทร์เธอบัญชา
อภิวันหันเหาะมา ถึงแดนดอนสิงขรวง
นิรมิตซึ่งอาศรม สองสถานโดยจำนง
อีกเครื่องอันจะทรง บรรพชิตเป็นสิทธา
กระเช้าแลแสรกคาน ขอเกี่ยวเก็บมูลผลา
ครบครันเครื่องบรรพชา แล้วเทเวศร์ก็บันดาล
เหลือบยุงริ้นร่านสัตว์ อันรั้นร้ายงูเลื้อยพาฬ
นกเค้าแสกประสาน เสียงส่งร้องก้องพงไพร
ผีโป่งบ่รานควาน ครางครวญคร่ำร่ำพิไร
สองเจ้าจะตกใจ กำจัดให้สูญหายเสียง
พรรณไม้ไม่มีผล เทวาขนไปเสียเกลี้ยง
มีลูกโอนปลูกเรียง รายริมรอบคันธกุฎี
แล้วเขียนอักษรสาร ไว้ในบานประตูที
บุคคลผู้ใดมี มโนใฝ่ใจศรัทธา
จะทรงบรรพชิต เป็นนักสิทธิ์ครองจรรยา
ให้ทรงเครื่องบรรพชา ศาลาให้ไว้เป็นทาน
เสร็จแล้วพระวิศนุ กรรมเทวบุตรคืนสู่สถาน
สู่รัตนพิมาน สรวงสวรรค์ชั้นอมร
เพลาปัจจุสมัย ไขแสงสีทิพากร
พระเวสสันดร ทั้งวรราชนาถมัทรี
กรซ้ายอุ้มกัณหา กรขวาจูงเจ้าชาลี
เดินตามมรคี หนทางน้อยรอยบาทจร
เล็งเห็นอาศรมบถ ที่สร้างพรตในสิงขร
ให้ลูกสองสายสมร แล้วรราชพนิดา
หยุดยั้งหน้าอาศรม หน่อบรม ธ ลีลา
เข้าในรัญญิกา อาศรมบถทศนาการ
จึงเห็นอักษรไว้ งามละไมในใบตาล
พระองค์ก็ทรงอ่าน เธอรู้แจ้งในปัญญา
ว่าที่ประดิษฐ์ไว้ ให้เป็นทานแก่อาตมา
เสด็จเข้าในศาลา เห็นหนังพยัคฆ์หญ้าคากรอง
เป็นเครื่องบรรพชิต ได้ดังคิดอารมณ์ปอง
ทรงผ้าหญ้าคากรอง หนังพยัคฆ์สะพักสา
กรกุมประคำจับ ไม้เท้ามือหนึ่งลีลา
ออกจากบรรณศาลา จงกรมเที่ยวจำเริญฌาน
สมเด็จพระมัทรี ศรีสุนทรทัศนาการ
ยลพระฤๅษีสาร สมสีสันบรรพชา
เหมือนหนึ่งนักพรต กำหนดบวชได้ร้อยวสา
แล้วทอดพระนัยนา ดูอาศรมภิรมย์ใน
แล้วละกุมารบุตร พี่น้องไว้นางเข้าไป
ในบรรณศาลัย อรนงค์ทรงบรรพชา
นางนุ่งผ้าเปลือกไม้ อีกคากรองหนังพยัคฆา
สะพักพระอังสา แล้วก็ออกจากกุฎี
จึงบวชเจ้ากัณหา ทารกน้อยนางฤๅษี
จึงบวชเจ้าชาลี เป็นดาบสกุมารา
ครั้นเช้าเยาวมาลย์ จับแสรกคานขึ้นเหนือบ่า
ถือขอเกี่ยวผลา ผลไม้ได้หาบคอนคืน
มาสู่อาศรมบถ นักพรต ธ ชมชื่น
ถวายผลผลาพื้น พรรณนาพฤกษอันหวานมัน
แก่องค์ไทธิเบศร์ เวสสันดร ธ รับฉัน
เลือกให้แก่เจ้ากัณ- หาชาลีเป็นภักษา
สมเด็จหน่อนเรศ เวสสันดรมีบัญชา
ตรัสแก่อัครชายาดาบสินีศรีสุนทร
ถ้าว่าผิดเพลา พระน้องเท้าเจ้าอย่าจร
มาที่สโมสร แห่งเราผู้เป็นฤๅษี
ศาลาอาศรมใคร อยู่ตามกิจประเพณี
วรราชนาถมัทรี รับสั่งซร้องสาธุการ
ตั้งแต่วันนั้นไป นางจรเต้าเข้าไพรสาณฑ์
หาผลในหิมพานต์ มาถวายให้ภักษา
ปฏิบัติเป็นอาจิณ รักษาศิลเพียรภาวนา
เจียรกาลนานเนิ่นมา จำเริญสุขทุกราตรี
เกือบใกล้สัตมาเส ในรัญเยพนาลี
สี่ษัตริย์โสมนัสปรี- ดาปราโมทย์ภิรมยา
วันประเวศกล่าวกลอนเสจ ห้าสิบเจ็ดพระคาถา
เรื่องราวกล่าวพรรณนา บวชเป็นชีนิถิตัง