๘.กุกัณฑ์มาร ๑๐๑ พระคาถา
- รายละเอียด
- หมวด: เทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 31 สิงหาคม 2556 23:21
- เขียนโดย manop
- ฮิต: 3865
กัณฑ์กุมาร
โสชูชโกปิ อาจุตาปัตเส กล่าวเมื่อพราหเม
รีบเร่งตะบึงมาบ่หึง
ตระบัดพราหมณ์เฒ่าลุถึง สระใหญ่อันหนึ่ง
อยู่ใกล้อารัญญิกา
พราหมณ์ตรึกนึกในปัญญา ชะรอยโบกขรา
ดังคำสิทธาแจ้งจัด
ว่าเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส เฒ่ายิ่งโสมนัส
พอสิ้นวิถีทางจร
เหลียวดูฝ่ายทิศอุดร ช่อฟ้างามงอน
หางหงส์เห็นประหลาดบาดตา
เออนี่อาวาสแล้วหนา จวนใกล้เพลา
ป่านนี้เห็นพระมัทรี
จักกลับมาแต่พงพี ชมลูกสองศรี
เปรมปรีดิ์สำราญพระทัย
แม้นว่ากูจักเข้าไป บัดเดี๋ยวนี้ไซร้
ขอพระราชบุตรสององค์
มาดแม้นท่านท้าวเธอทรง ศรัทธาปลดปลง
ไหนนางโฉมยงจะยอมยิน
ด้วยลูกร่วมยากจากถิ่น มาอยู่ศิขริน
สิ้นสูญประยูรวงศา
น่าที่มัทรีนางพระยา จะทูลทัดทานา
ทางบารมี ธ ขวนขวาย
อันว่าธรรมดาน้ำใจ กระษัตรีมีใน
โลกย์นี้ก็ย่อมมีมา
ทิฐิตระหนี่ในทานา ตัดความเสน่หา
ให้ขาดก็เห็นกันดาร
ฝ่ายท่านผู้จักจะทำทาน หมายมุ่งโพธิญาณ
จะเสียเสื่อมศรัทธาผล
ทั้งตัวเราผู้คนจน เสียแรงที่ทน
ทุเรศมาในกลางเถื่อน
มาแล้วกลับเปล่าไปเรือน อมิตดาจะเตือน
เร่งเอากัณหาชาลี
สเว ต่อรุ่งพรุ่งนี้ เป็นวันปัณรสี
ฤๅก็ดีประกอบชอบเชิง
ด้วยว่านางพระยาจะละเลิง เข้าป่ารื่นเริง
เก็บพรรณผลไม้มากมี
ยังแต่พระราชฤๅษี ใดช่องชอบที
กูนี้จะเข้าไหว้วอน
ขอลูกทั้งสองสายสมร คิดแล้วก็ผ่อน
ผันขึ้นยังเนินบรรพต
ปลดเปลื้องเครื่องย่ามลงหมด แอ่นอัดดัดคด
สบายสายเส้นเอ็นอ่อน
ถุงก็ตากลากวางต่างหมอน เป็นผาสุกนอน
คุดคู้ลงสู่ภวังค์
หลับสนิทไม่ติงกายัง อ้ายเฒ่าทุรัง
ลืมตนกรนอยู่ภูผา
เพลาราตรี วันเมื่อธชี ชูชกนั่นอา-
ศัยนอนไพรพฤกษ์ นิโครธสาขา เกือบใกล้กับอา- ศรมบทฤๅษี
มัทรีวรนาถ เข้าสู่ไสยาสน์ ในคันธกุฎี
ด้วยโอรสา กัณหาชาลี สมัยราตรี เทวีนิมิตฝัน
ว่าชายหนึ่งดำ โตต่ำกำยำ ทะมึนทรงัน
ทัดดอกไม้แดง สองหูดูขัน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชักดาบวางมา
ถีบประตูล้มลง ล่วงเข้าถึงองค์ อัคเรศชายา
มือซ้ายจับเกศ กระชากลากคร่า ให้ล้มลงผ่า อุราควักเอา
ดวงพระหทัย ควักพระเนตรใน บั่นกรนงเยาว์
ทั้งสองขาดเด็ด ได้แล้วชายเต้า ยังแต่องค์เปล่า นางไห้โศกา
ตื่นจากไสยาสน์ ยกกรประภาษ ดูพระพาหา
ทั้งสองยังอยู่ รู้ด้วยปัญญา ว่าโออาตมา นิมิตพิสดาร
ฤๅจะได้แก่ท่าน พระปิ่นปกเกล้า ฤๅสองกุมาร
ฤๅว่าอาตมา เที่ยวป่าไพรสาณฑ์ ทรงพระวิจารณ์ รำพึงตะลึงหา
ถ้าอยู่ในเชต อุดรนัคเรศ จักให้โหรา
ทายพระสุบิน ดังใจจินตนา ตกร้ายอยู่ป่า จะเห็นหน้าใคร
เห็นอยู่แต่ท้าว เวสสันดรเจ้า ทรงพระคุณมไห
ยอดยิ่งโหรา ในพระเวียงชัย พระองค์ทรงไตร เพทแท้ทั้งสาม
อย่าเลยอาตมา จักจรไปหา บาทมูลทูลถาม
ให้รู้ร้ายดี เหตุผลต้นความ คิดแล้วโฉมงาม ประคองสองสมร
ชาลีกัณหา ปลอบว่าขวัญตา เจ้าแม่จงนอน
แม่จักจรไป อาศรมภูธร ทูลกิจบิดร อาวรณ์แม่ฝัน
สั่งเสร็จเสด็จมา สู่สำนักอา- ศรมบททรงธรรม์
ครั้นเจ้าจะปลุก ประทมนอกบรร- ณศาลานั้น เห็นไม่ควรการ
คิดแล้วชายา ยกพระหัตถา เคาะกับใบดาน
ดังก้องเกาะกุก ปลุกประทมนฤบาล มัทรีเยาวมาลย์ ทูลขอโทษา
โพธิสัตโต เวสสันตโร บำเพ็ญเพียรพยา
แผ่ไมตรีจิต ตามกระแสธรรมา สมาธิรักษา ศีลสังวรกาย
ยินเสียงกระทั่ง กระทบบาลดัง ก้องกรรณาหมาย
ฤๅษีเทวา ปีศาจสุรกาย ภูตมายาพราย ประหลาดหลากอยู่
ตรัสทักออกไป เออนอกนั้นใคร กระทั่งใบบาลประตู
นางทูลตอบท้าว ว่าข้าเจ้าผู้ บริจามาสู่ เพื่อจะแจ้งกิจจา
ตรัสว่ามัทรี มาไยป่านนี้ แผกผิดเวลา
เดิมแรกเราให้ กิติกรรม์สัญญา มิไปอย่ามา ผิดเวลาการ
นี่เจ้ามาไย จะแกล้งให้ไขว้ ในสมาธิฌาน
เอ๊ะนี่เจ้ากรรม มาทำมารพาล ให้เสื่อมเสียฌาน ซึ่งได้รักษา
สมเด็จมัทรี ได้ฟังฤๅษี เทวีทูลมา
หวังจักรำงับ ดับความกังขา ว่าข้าไม่มา ด้วยราคโมหันต์
เออเจ้ามาไย ทำงนสิ่งใด แจ้งไปจงพลัน
นางทูลฉลองกิจ ว่านิมิตฝัน เห็นเป็นอัศจรรย์ จึงจรมาสู่
เจ้าฝันว่ากระไร อย่าเข้ามาใน นั่งแต่นอกประตู
เล่าพี่จะได้ ทำนายให้รู้ น้อยฤๅโฉมตรู ละลูกวิ่งมา
นางฟังภิปราย แก้นิมิตถวาย แด่ไทภัสดา
ตามนัยหนหลัง วัจนังกล่าวมา ให้นักสิทธา ทราบสิ้นสุบิน
เวสสันตรา เงียบพระกัตถา สดับสรรพยิน
ลักษณะนิมิต บพิตรคิดจิน- ตนานึกถวิล ถึงโพธิยา
สเว วันพรุ่งนี้ กระยาจกจักมี จรลีเข้ามา
ขอชาลีราช วรนาถกัณหา อัชฌติกทานา เพิ่มพูนสมภาร
ครั้นจักสำแดง อรรถนั้นให้แจ้ง แก่นาถนงคราญ
ท้าวน้องมัทรี มิไปไพรสาณฑ์ จะขัดทัดทาน เคืองค้านทางบุญ
จำจักทำนาย เป็นกลอุบาย มิให้หมองมุล
ตรัสว่ามัทรี อย่ามีมโนปุญ ถึงโทษและคุณ วิบัติอันตราย
ด้วยเราจากวัง กินอยู่นอนนั่ง วิปริตผิดกาย
ธาตุกำเริบร่ำ ทำระส่ำระสาย ฝันดีเป็นร้าย ไม่แท้แปรปรวน
จงไปกุฎี ถ้าโอรสศรี ทั้งสองทรามสงวน
ตื่นขึ้นไม่เห็น เจ้าจักคร่ำครวญ อย่าได้หมองนวล น้องท้าวเทวี
ฟังตรัสประภาษ โฉมยงนงนาถ ไม่วางหัทยี
จำบังคมลา พระบาทสามี กลับมากุฎี ปลุกลูกสองรา
โอ้ทรามสงสาร อรุณตั้งนาน แล้วแก้วแม่อา
จงฟื้นตื่นกาย นอนสายไยหนา วันนี้แม่มา ฝันเห็นหลากใจ
ทูลบิดาเจ้า ตรัสทำนายเล่า ว่ามิเป็นได้
แต่พระชนนี มิไว้วางใจ ไม่ใคร่จะไป เที่ยวในไพรวัลย์
ครั้นจะอยู่กุฎี ทั้งพระฤๅษี ไม่มีอันฉัน
จำเป็นจำไป ยังไพรอารัญ ว่าแล้วอุ้มกัณ- หาจูงชาลี
ชำระโสรจสรง สำอางอ่าองค์ เสร็จสิ้นราคี
แล้วพามาสู่ อาศรมฤๅษี จึงพระมัทรี กราบทูลภัสดา
ข้าแต่พระองค์ สองศรีสุริวงศ์ โปรดอย่าอุเบกขา
ด้วยข้าพระเจ้า จะเข้าไปหา มูลผลผลา ลูกไม้ในดง
ขอฝากสองศรี ไว้ใต้ธุลี ละอองบาทบงสุ์
โปรดอย่าให้เที่ยว เลี้ยวล่าเล่นพง ลับเนตรพระองค์ เกลือกมีภัยพาล
ฝากแล้วสั่งสอน ลูกรักบังอร ค่อยอยู่สำราญ
ด้วยบิตุราช อย่าคลาดจากสถาน จรเล่นดงดาน ไกลบรรณศาลา
น้องอย่าด่าพี่ พี่เจ้าอย่าตี หยอกน้องกัณหา
จงรักษากัน กว่าแม่จะมา แนวเนินเทินผา อย่าพาน้องไป
อยู่แต่ใกล้พักตร์ พระบิดาจัก ใช้สอยสิ่งใด
อย่าเพลินเมินเร้น เร่ไปเล่นไกล อัชฌาอาศัย อย่าไปลับตา
สั่งแล้วเยาวมาลย์ จับสาแหรกขอคาน พาดขึ้นอังสา
ชลนัยน์ไหลซาบ อาบพักตร์เดินมา แสวงหามูลผลา ตามแถวแนวไพร
ค่อยเสาะสอยใด ขอเคียวเกี่ยวใจ ยุดชักหักใส่
กระเช้าเจ้าคิด คำนึงนึกใน ถึงลูกสายใจ ไม่วายอาวรณ์
ครั้นอรุณรุ่งแจ่มใส ไขแสงสิ้นทินกร
ชูชกตื่นแต่นอน พอรโพรงคอยดูเวลา
เฒ่าคิดว่าป่านฉะนี้ มัทรีเจ้าเข้าไปป่า
จับย่ามพราหมณ์สะพายบ่า คร่าโครงผละจากพระไทร
ถุงย่ามไม้เท้างอ เฒ่าก็ถ่อกายเดินไป
มุ่งมาศาลาลัย พระเป็นเจ้าจอมใจอาริย์
วันนั้นองค์พระเวส สันดรเพศฤๅษีสาร
อีกสองราชกุมาร พี่น้องเล่นใกล้พระองค์
ท้าวเบิกบัญชรนั่ง คอยกระยาจกตามทางทรง
พระทัยท้าวจำนง จะบำเพ็ญโพธิยา
ประดุจดังกระไทชาย ใช้ให้เมียซื้อสุรา
บ่นว่าเมื่อได้มา ทำแกล้มตั้งนั่งคอยงง
อุปมาดังพระเวส สันดรเพศหน่อพุทธพงศ์
อันมีมโนปลง ท่ากระยาจกจักทำทาน
ท้าวทอดพระเนตรดู เห็นชีชูชกฒาจารย์
เดินมาตรงหน้าฉาน มีพระทัยใฝ่ยินดี
ในทางทำทานา เริศร้างมาเจ็ดเดือนมี
จึงตรัสแก่ชาลี แก้วกัณหาสองกุมาร
ว่าวันนี้แลพ่อ พึ่งได้เห็นพฤฒาจารย์
เข้ามาสู่สถาน ปานดังอยู่กรุงสีพี
โน่นแน่ดรุณราช กัณหานาถพ่อชาลี
เจ้าเห็นฤๅธชี คมนามาหน้าอาศรม
ชาลีแก้วกัณหา รับช่งคาถวายบังคม
ทูลสนองแด่บรม ธิราชท้าวผู้บิดา
ซึ่งตรัสมาทั้งนี้ ก็ควรด้วยเกล้าเกศา
แต่พราหมณ์ผู้ที่มา วิสัยเพศเป็นพาเหียร
ดีร้ายเฒ่าเจ้าเล่ห์ เพทุบายจะเบียดเบียน
สักสิ่งจึงเพื่อนเพียร พยายามตามออกมา
ทูลพลางทางสองเจ้า มารับเฒ่าพราหมณา
จึงร้องว่าท่านตา มาแต่ไหนจะให้ถือ
ซึ่งเป็นของอันหนัก หลานจักรับให้เบามือ
ย่ามตะพายไม้เท้าถือ ยื่นมาด้วยช่วยพาไป
ชูชกฟังกุมาร เฒ่าสาธารณ์ตรึกนึกใน
เด็กนี่ใช่อื่นไกล คือกัณหาและชาลี
ธรรมดาว่านกยูง ย่อมมีแววไม่เสียศรี
ชาติหนามใครเสี้ยมมี สองเจ้านี้ดูคมสัน
แม้นมาตรกูขอได้ จะโฉงเฉงใช้ยากครัน
อย่าเลยแรกพบกัน จำให้พรั่นด้วยวาจา
คิดแล้วดีดมือถับ ร้องสำทับว่าเฮ้ยฮา
ลูกใครนี่สิหวา มาเคียงแข่งเร่งหลีกเรา
ว่าแล้วยังดูตา อีกเล่าหนาทำดูเบา
กูจักวัดเหวี่ยงเอา ด้วยไม้เท้าทีเถิดหรือ
อ้ายเฒ่าร้องตะคอก ยกหมัดศอกทำฮึดฮือ
เด็กน้อยนี่ดึงดื้อ เอาทีเถิดหรือให้หนำใจ
ชาลีฟังคำพราหมณ์ กล่าวคุกคามหลีกออกไป
เหม่พราหมณ์นี่กระไร มาหยาบช้าเป็นสามานย์
พิศดูในกายโสด บุรุษโทษสิบแปดประการ
ชั่วจริงเฒ่าจัณฑาล พระกุมารนิ่งในใจ
ชูชกทลิทา ค่อยคมนาการเข้าไป
ถึงหน้าบรรณศาลัย แห่งสมเด็จพระฤๅษี
นั่งลงยอกรกราบ ศิโรราบอัญชุลี
พราหมณ์เฒ่าแสนกาลี กล่าวประพฤฒิปราศรัย
พระองค์ตอบธชี เหมือนคดีอันมีใน
มหาพนอันปราศรัย พระอจุตโพ้นเมื่อมา
อลัชชีทลิทก เมื่อจะย่าญ่ศรัทธา
เปรียบปัญจะคงคา ทั้งห้าแถวแนวนองชล
ชนาอสุรศักดิ์ แม้นวิดวักจะตักขน
ครั้นร้อนสกลตน กระหนกระหายได้ลงกิน
ใหญ่น้อยร้อยโกฏิแกล้ง ไม่เหือดแห้งกระแสสินธุ์
มังกรแลกุมภิล เงือกงูพรรณมัจฉา
ร้อนกายได้เข้าพึ่ง บึงบางสมุทรคงคา
ยมนามหึมา สาระภูเจียรวัฏี
เป็นที่อ้างอาศัย สรรพสัตว์ในท้องโลกีย์
เย็นเกล้ากระหม่อมชี พราหมณ์เพศผู้เที่ยวภิกขา
เสมอเหมือนพระทัยท้าว ปิ่นปกเกล้าทรงศรัทธา
เลื่องลือระบือปรา- กฏว่าให้อัชฌติกทาน
จึงข้าพเจ้าลา อมิตดายอดสงสาร
เพื่อจักถึงสมภาร สู้ทรมานถ่อกายมา
จักขอพระชาลี ศรีศุภลักษณ์แก้วกัณหา
สองนาถราชบุตรา ของพระองค์ปลงพระทัย
ปราศจากบุตรเป็นทาน โพธิญาณอันมไห
จะได้เป็นปัจจัย ในอนาคตกาล
คือดังโยธาพล ผจญด้วยปีติมาร
จักสำเร็จโพธิญาณ ในรุกขโพธิบัลลังก์
ปางพระเวสสันตรัง สดับวัจนัง
ชูชกพราหมณ์พฤฒิปราศรัย
ทูลขอลูกรักร่วมใจ ว่าจักเอาไป
เป็นทาสช่วงใช้กรรมกร
ดังน้ำพระทัยแน่นอน มิได้ย่อหย่อน
มาตรว่าน้อยหนึ่งบ่มี
ท้าวเธอเลื่อมใสเปรมปรีดิ์ เจตนายินดี
ด้วยจักบริจาคบุตรทาน
จึงตรัสว่าพฤฒาจารย์ อันสองกุมาร
ลูกเราดังดวงชีวิต
ขอเราเราจักปลดปลิด ให้ไปเป็นสิทธิ์
แก่ท่านเถิดพราหมณ์พฤฒา
ด้วยว่าเรารักโพธิญาณ์ ยิ่งสองกุมารา
มากกว่าร้อยเท่าแสนส่วน
เราสละให้แล้วก็ควร แต่ว่าอย่าด่วน
ช้าช้าจะเป็นไรมี
จงงดท่าเจ้ามัทรี ไปหิมวาลี
ไม่ช้าเจ้าจักกลับมา
หนึ่งนางจักได้ซร้องสา- ธุการโมทนา
พร้อมกันสำราญบานใจ
ด้วยลูกถูกถึงพระทัย พยาบาลจนใหญ่
อุ้มท้องทรมานกายา
หนึ่งจะได้ลูกมูลผลา ให้แก่พฤฒา
ฉันแล้วจงพากันจร
ชูชกโกหกแสนงอน ทูลสนองภูธร
ธิเบศร์ผู้จอมใจอารย์
ว่าข้าพระเที่ยวขอทาน แต่ยังยุพาล
จนหัวเป็นหอกดอกเลา
รู้จักที่หนักที่เบา จะได้จะเปล่า
ประโยชน์โทษคุณอย่างใด
ธรรมดา กระษัตรีมีใน โลกนี้มีใจ
เสน่หาอาลัยมากมาย
บริจาคบุตรทานไม่ได้ กระหม่อมฉันนี้หมาย
โปรดให้ขอลาวันนี้
อย่าให้ทันพระมัทรี มาแต่พงพี
เห็นว่าจะดีกว่ากัน
โพธิสัตว์ตอบวาจาพลัน พราหมณ์เอยดังนั้น
อย่าว่าไม่ควรแก่องค์
อันใจมัทรีสุริวงศ์ ศรัทธามั่นคง
ในทานธิคุณสุนทร
แต่ท่านไม่อยู่จักจร จงพาสองสมร
ไปยังกรุงราชสีพี
ถวายแด่อัยกาอัยกี ท้าวจักยินดี
จะปูนบำเหน็จประทาน
ทรัพย์สินสาวสนมสะคราญ เครื่องใช้ตระการ
ยิ่งสองกุมารอีกพราหมณ์
ซึ่งตรัสทั้งนี้ชอบความ ครั้นว่าจะตาม
บัญชาพาไปสีพี
เกลือกไม่สมคะเนนึกมี สญชัยธิบดี
จะตั้งกระทู้ถามพราหมณ์จน
ลงว่าเป็นขโมยลักคน จะแก้ขัดสน
ไม่พ้นจะต้องโทษา
ลาภเสียทั้งเมียก็จะด่า ผิดชอบจะพา
ไปกลึงคราชบุรี
จะให้นางพราหมณี อมิตดานารี
ใช้เป็นทาสีทาสา
ขอพระองค์จงเรียกกัณหา ชาลีบุตรา
มาให้แก่ข้าพาไป
กัณหาชาลี ได้ฟังธชี ชูชกปราศรัย
ตระหนกอกสั่น หวาดหวั่นพระทัย ดังหนึ่งแม่ไก่ บุคคลตามตี
คอยเมื่อลับเนตร ทรงฤทธิ์บิตุเรศ ชวนพากันหนี
ลอดเลี้ยวไปบัง หลังคันธกุฎี เจ้าทั้งสองศรี ซ่อนในสุมทุม
กลัวจักไม่มิด แม้นพราหมณ์ตามติด พบกายเกาะกุม
ชาลีพากัณ- หาจากสุมทุม ถอยหลังลงซุ่ม ในโบกขรณี
เอาน้ำบังองค์ เอาใบบุษบง มาบังเศียรศรี
ให้กติกากัน สัญญาน้องพี่ พบใครอย่ามี สุนทรวาจา
เกาะกุมกันอยู่ ในสระสินธู คิดคำนึงหา
ถึงพระชนนี สองศรีโศกา โอ้พระมารดา จะมาเมื่อใด
บัดนั้นพราหมณ์เฒ่า ไม่เห็นสองเจ้า ข้างบรรณศาลัย
ชะรอยพี่น้องนี้ หลบลี้หนีไป เฒ่าโกรธเกรียมใจ ตัดพ้อเยาะหยัน
เออเวสสันดร แต่ก่อนขจร ว่าใจสัจธรรม์
กับเขาลือไว้ ไม่ถูกสักอัน การคิดบิดผัน ในใจใครจะเหมือน
เมื่อแรกเพราะพร้อง ทั้งยิ้มทั้งย่อง เจรจาไม่เฟือน
อัชฌะติกทานัง ฟังไว้เจ็ดเดือน บัดนี้มาเคลื่อน สูญเสียเยียใด
ให้ลูกเป็นทาน ต่อตั้งโพธิญาณ แท้ว่าตรัสใน
อนาคตโพ้น โน้นเล่านี่ไฉน เอาโป้ปดไป เป็นรัตนบัลลังก์
ท่านทำดูถูก มาให้ทานลูก แก่พราหมณ์ภิกขัง
ความรักหนักหน่วง ห่วงหน้าห่วงหลัง ให้งดอยู่ฟัง เมียมาแต่ป่า
ครั้นเราไม่อยู่ จะให้นำไปสู่ สญชัยบิดา
เรานี้มิไป คิดไขว้ขึ้นมา พยักหน้าให้ตา ลูกพากันไป
แต่พ่อกระหยิบ ลูกหายไปฉิบ พร้อมตามน้ำใจ
อวดอ้างว่าให้ อัชฌติกภายใน แต่ปากเลื่อมใส ใจไม่ศรัทธา
อันว่าบุคคล ทั่วทั้งสากล ซึ่งเขาเจรจา
มิได้ฟั่นเฟือน เหมือนเวสสันตรา ปดโป้มุสา ลวงพราหมณ์ขอทาน
สมเด็จพระเวส ครั้นฟังพราหมณ์เพศ เหลียวดูกุมาร
สองเจ้าหายไป หนีภัยจากสถาน แจ้งพระกมลมาลย์ แล้วมีวาจา
ดูก่อนพราหมณัง ท่านจงยับยั้ง ฟังเราก่อนรา
เอาแต่โทโส โมโหสรรพลา อยู่กับปลายนา- สิกนี้ทีเดียว
ชาลีกัณหา เราจักนำมา ให้ท่านบัดเดี๋ยว
พราหมณ์เอ่ยอย่าวุ่น ฉุนน้ำใจเชียว แม้นไม่ได้เจียว จึงกล่าวครหา
หน่อพระดิลก ห้ามชีชูชก แล้วเสด็จไคลคลา
ตามรอยบทบาท สองราชลีลา สู่สุมทุมป่า หลังคันธกุฎี
ไม่พบสององค์ เห็นรอยถอยลง ในโบกขรณี
รู้ด้วยปัญญา ว่าสองน้องพี่ อยู่ในสระศรี อุทกบังกาย
เมื่อพระฤๅษี ตรัสเรียกชาลี ผู้เป็นพี่ชาย
กล่าวยานนาวา คาถาภิปราย ยกย่องสองสาย เป็นเภตราทาน
ตาตะชาลี สุริวงศ์ทรงศรี ผู้จำเริญขวัญ
เจ้าไม่รู้หรือ ในมโนอัน บิดาหมายมั่น น้อมเอาโพธิญาณ
น้อยฤๅสายใจ หนีบิดาไย ไม่ควรแก่การ
ให้ชีชูชก กล่าวคำสามานย์ ติเตียนในทาน เจ็บช้ำพระทัย
เราเป็นกษัตริย์ ไม่ใครพ้อตัด หยาบช้านี่ไฉน
ขึ้นมาเถิดพ่อ อย่าย่อท้อภัย เจ้าก็เกิดมาใน วงศ์พุทธางกูร
ฤๅกลัวศีลทาน จะให้โพธิญาณ พ่อค้างเสียสูญ
เห็นแต่สองเจ้า หน่อเหน้าก่อกูล ได้ช่วยเพิ่มพูน พระบารมิตา
พ่อช่วยกู้สัตว์ ในสงสารวัฏ เวียนว่ายคงคา
โอฆวารีอัน ใหญ่ยิ่งมหึมา สุดซึ้งชนา จะข้ามได้ไฉน
โลโภคือคลื่น ใหญ่ยิ่งครึกครื้น ก้องจักรวาลัย
โทโสลมการ พัดพานสมุทไท ฟองฟุ้งกลุ้มไป เป็นนิจรันดร
สำเภาโลกีย์ ชนพานิชขี่ เที่ยวค้าสาคร
ต่อตั้งด้วยไม้ แข็งขันงามงอน เล่มอยาลาภอร ตรึงเหล็กตาปู
หุ้มทองแดงดาด มั่นคงสามารถ เสร็จแล้วจากอู่
มิอาจข้ามได้ กระแสสายสินธู ละลอกฟ่องฟู ก็ทบนาวา
ถูกแต่ลูกเดียว จะเอนเอียงเอี้ยว อับปางกลางสา-
คเรศใหญ่หลวง ทั้งปวงกล่าวมา อันว่าเภตรา เปรียบด้วยโลกีย์
ถ้าสำเภาทาน ทำด้วยแก่นสาร พอเห็นกระนี้
แม่นแท้แลเจ้า จักข้ามโลกีย์ ตลอดถึงทวี เกษมศานต์สมพอง
เจ้าจงขึ้นมา เป็นลำนาวา มหาสำเภาทอง
อันงามล้ำเลิศ เกิดกับมุนีกรอง ส่งศรีแสงส่อง ทั่วโลกสว่าง
จะเอาสัมมัปทาน ไตรลักษณญาณ มาเป็นกระดูกล่าง
วางถ้วนหน้าท้าย ดูงามสำอาง ต่อตั้งกงข้าง ทำเป็นเภตรา
รัดด้วยอนิจจัง ผูกด้วยทุกขัง ตรึงด้วยอนัตตา
จะเอาบารมี แสนกัลป์นั้นมา ปูลาดดาดฟ้า ราโทรัดตรึง
เอาปัญจะศีลลา ทั้งห้าอุตส่าห์ กุศลพอพึง
เป็นลูกร็ศัก เหล็กรัดตอกตรึง เข้มแข็งขันขึง ทั่วลำสำเภา
จะเอาบารมี ทั้งสามอันมี วางลงเป็นเสา
จะเอาความสัจ เป็นสายระโยงเพลา ใบสิ้นสามเส้า สายเลี้ยวเกี่ยวพาน
เอาพระสมาธิ กล่าวคือสติ เป็นจังกูดบ้าน
ธรรมพหูสูต เป็นสมอตระการ เอาสัมปชัญญาณ เป็นกว้านช่อใบ
แล้วจะตั้งบุษบก คือไตรปิฎก ทั้งสามประไพ
เอาสัตย์โพชฌงค์ เป็นอับเฉาใน ศีลทานนั้นไซร้ เป็นเสบียงเดินทาง
แล้วจะขนสินค้า ลงยังนาวา สรรพสิ่งต่างต่าง
คือเวไนยสัตว์ สี่อสงไขยสร้าง บรรทุกระวาง พร้อมสิ้นเสร็จการ
แล้วพระบิดา จะทรงพระขันทา คือองค์มรรคญาณ
เอาปัญญายิ่ง เป็นสะดึงยังทาน เอาเมตตาฌาน เป็นใบใหญ่หลวง
เอาพระเจตสิก เป็นธงกระดิก ตามลมทั้งปวง
เอาพระอัษฎางค์ ทั้งแปดมาหน่วง เป็นเข็มกล้องช่วง ชี้ช่องวิถี
แถวทางชลาลัย ครั้นได้พิชัย ชอบฤกษ์นาที
ให้ถอนสมอ ช่อใบอึงมี่ ชักเลี้ยวแล่นรี่ หมายมุ่งแม่นใน
มหาหรณพ ฝูงเทพยุตบ มือชมไสว
โปรยปรายมณฑา ทิพมาศมาลัย ลงแต่ตรึงไตร สรรเสริญสุนทร
ทุกห้องช่องฟ้า ชวนกันซร้องสา- ธุการอวยพร
ทั้งหมื่นจักรวาล สะเทือนเคลื่อนคลอน นี่แลสายสมร สุดรักบิดา
คลื่นลมเติบโต กล่าวคือโลโภ โทโสโมหา
มิอาจต้านทาน สำเภาธรรมา แล่นล่องคล่องคลา- ไคลเคลื่อนถึงฝั่ง
สิว่าไกลนัค- คเรศสำนัก นิพพานโดยหวัง
เจ้าผู้ดวงเนตร ของพระบิตุรัง จงขึ้นมายัง ฝั่งเถิดโฉมงาม
ขึ้นมาเถิดพ่อ อย่าได้ย่อท้อ กลัวภัยโพยพราหมณ์
โอพ่อชาลี เพียงนี้จะขาม จะมาครั่นคร้าม หลบเล่ห์เว่กาย
เจ้าคือทองคำ นพคุณเก่าน้ำ ห่อนฤๅหมองหมาย
ตกไส้ทาทับ ไม่อับแสงสาย สุวรรณพรรณราย โชติช่วงแสงศรี
เจ้าเกิดในวงศ์ พุทธากูรทรง ศีลทานบารมี
จะกลัวอะไร โพยภัยพราหมณ์ชี ไปกรุงสีพี จะพบอัยกา
เดชะแผ่ผล อำมรมาดล แนะนำมรคา
เทวในไพรสาณฑ์ ภิบาลรักษา เจ้าเร่งขึ้นมา สืบสร้างบารมี
ขณะนั้นพลันเจ้าชาลี สดับพาที
บิตุเรศอันตรัสพัจนา
ตริตรึกนึกในปัญญา ว่าโอ้อาตมา
เกิดในวงศาจอมสกนธ์
จะให้พระบิดาตน เรียกถึงสองหน
นิ่งอยู่ดูมิควรนัก
มาตรแม้นว่าเฒ่าทรลักษณ์ มันจักแขวะควัก
เนื้อเลือดก็ตามเวรา
คิดแล้วเปิดใบบัวคลา ขึ้นจากคงคา
กอดบาทเบื้องขวาบิดร
ทรงพระกันแสงสะอื้นอ้อน จึงหน่อนรินทร
ถามว่ากัณหาอยู่ไหน
ชาลีทูลสนองเป็นนัย อันสัตว์กลัวภัย
ต่างตนต่างเอาตัวหนี
ไม่ควรแก่ข้าชาลี ขอทูลบทศรี
ให้ทราบพระบาทบิดา
สมเด็จพระเวสสันตรา ฟังคำเจ้าชา-
ลีทูลก็แจ้งพระทัย
รู้ว่ากัณหาอยู่ใน โบกขรณีไท้
ธิเบศร์เธอตรัสพัจนา
ตรัสเรียกสุวรรณแก้วกัณหา ด้วยยานนาวา
เหมือนเรียกโอรสชาลี
กัณหาวรแก้วกระษัตรี ขึ้นจากสระศรี
มากราบกับบาทบิดา
ข้างซ้ายฟูมฟายน้ำตา สุชลธารา
ไหลลงหลังบาทยุคล
ดูงามดังดอกอุบล รับพระสุชล
ละเนตรแห่งสองกุมาร
ท้าวพลอยละห้อยสงสาร น้ำพระเนตรคือธาร
ไหลลงเหนือหลังทั้งสอง
ดังแท่นแผ่นสุวรรณกระดานทอง เข้ามารับรอง
ก่องแก้วมุนินทร์จินดา
แล้วท้าวยกพระหัตถา ลูบหลังสองรา
ว่าเจ้าผู้ร่วมหฤทัย
เจ้าอย่าทรงโศกาลัย เจ้าย่อมแจ้งใจ
พระลูกอยู่แล้วแต่หลัง
จนจากนิเวศน์เวียงวัง เพราะทำทานัง
หวังจะแลกเอาพระโพธิญาณ
แม้นถ้ามีทรัพย์สิงคาร มิให้กุมาร
พลัดพรากจากอกพ่อเลย
ตรัสปลอบทั้งสองทรามเชย ว่าแก้วพ่อเอ๋ย
จงยืนยินฟังพจมาน
แล้วให้ลูกรักสงสาร ยืนประดิษฐาน
ภูบาลยั้งในปรีชา
ไหนเล่าอ้ายเฒ่าชรา จักครองกายา
ลูกรักกูจักได้ไฉน
เปรียบดังพระสุรีศรีใส จักเอาอันใด
ปิดไว้บ่ได้หายแสง
อย่าเลยจำจักจัดแจง พิกัดตำแหน่ง
ให้แจ้งราคาอันมี
คาดค่าโอรสสองศรี ดังนายโคตี
ค่าโคในคอกบ่มิปาน
ตาตะชาลีกุมาร พ่อให้เป็นทาน
ถ้าเจ้ามีความปรารถนา
ให้ขาดจากทาสพฤฒา เจ้าจงแสวงหา
สุวรรณพันตำลึงให้พราหมณ์
กัณหากระษัตรีมีนาม ทรงลักษณ์เลิศงาม
เป็นที่ยินดีเสน่หา
แก่ชายหมายมุ่งเจตนา พ่อจักตีค่า
ไปเป็นอาภรณ์แก่องค์
อย่าให้ชายใช่สุริวงศ์ จิตจอดใจจง
ร่วมรสราชปรารถนา
เว้นไว้แต่ขัตติย์ราชา มีทรัพย์โภคา
ละสิ่งละร้อยพอพึง
ม้ารถคาวีมหึงส์ สุวรรณพันตำลึง
ชายหญิงโดยน้อยร้อยคน
เครื่องใช้ทรัพย์สิ่งโสภณ คชสารเรืองรณ
แก้วแหวนแพรพรรณวัตถา
จงครบสบสิ่งโภคา ไถ่แต่พราหมณา
จึงน้องเจ้าจะได้เป็นไท
เจ้าจำคำพ่อสั่งไป อย่าได้อาลัย
จงช่วยบำเพ็ญบารมี
แล้วพาพระลูกสองศรี มายังกุฎี
มีน้ำพระทัยเบิกพราย
ตรัสเรียกพราหมณ์เข้ามาใกล้ รับเอาสองสาย
สุดสวาทพระราชบุตรเรา
สูงศักดิ์ลักษณ์เลิศโฉมเฉลา เป็นที่รักเรา
ดังดวงชีวีบ่มิปาน
แต่ว่าเรารักโพธิญาณ ยิ่งสองกุมาร
มากมายก็พ้นคณนา
ตรัสพลางยกคนทีมา หล่อหลั่งอุทกา
ลงฝ่ามือพฤฒาจารย์
ร้องประกาศเทเวศในไพรสาณฑ์ สิงขรห้วยหาร
พรหเมศเทเวศอำมรา
ยมเรศเวสสุวรรณราชา มณีเมขลา
คงคาธรณีพิศาล
จงเป็นศักดิ์ศรีพยาน อันสองกุมาร
ก็ปานดังดวงหทัย
ยกอำนวยทานทันใด อัชฌติกภายใน
ไม่รักสมบัติทั้งสอง
ด้วยจิตเราคิดปรุงปอง โพธิญาณสมพอง
พลันตรัสในอนาคตกาล
ท้าวมีมโนชื่นบาน ปีติบันดาล
แสยงสยองโลมา
แต่บาทตลอดถึงเกศา ชื่นชมรมยา
โมทนาปราโมทย์ไนทาน
วันเมื่อท้าวสละลูกสงสาร
อัศจรรย์ก็บันดาล กัมปนาท
ลั่นเลื่อนสะเทือนพิภพไหวหวาด
เขาพระสุเมรุราช ก็เอนอ่อน
ฝูงสัตวกระเจิงสยบขย้อน
เวียนวิ่งสลับสลอน อยู่ไปมา
เมฆหมอกออกมัวทั่วทั้งโลกา
พายุพานพัดพา ในอำพน
เสียงคระเครงคระครื้นครั่นฟ้าฝน
โปรยปรายในเวหน เป็นฝอยฟอง
เมขลาก็ล่อแก้วแววคะนอง
รามสูรขยับย่อง ขะยิกขยี้
บันดาลแสงสายแก้วมณี
เปลวปลาบแปลบสี วะวาววาม
อสุรีก็ขว้างขวานทะยานตาม
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงไล่ลาม จลาจล
ยังมหาสาคเรศ ณวังวน
เป็นละลอกฉอกชล ฉะฉัดฉะฉาน
มัจฉาก็มาอุบัติบันดาล
ระดมโดดโลดเล่นธาร ทะลึ่งล่วง
ช้างน้ำเงยงาแหงนชูงวง
เงือกงูทั้งปวง แสยงเศียร
ฝ่ายฝูงเทวราชดาษเดียร
สิบหกช่องวิเชียร พิมานแมน
ต่างภิรมย์ชมท้าวทุกด้าวแดน
สโมสรก็แสน โสมนัส
วิชาธรกินนรทุกสรรพสัตว์
ทั่วพื้นจักรวรรดิ ชมบารมี ฯ
ปางเมื่อไทธิเบศร์ เวสสันดรพระฤๅษี
ประสาทเจ้าชาลี กัณหาให้เป็นทานพราหมณ์
ธชีชูชกรับ จับกุมกรบ่มิขาม
ลากลู่ซู่มาตาม มรคาพนาดร
เฒ่าจับเอาเถาวัลย์ กัดด้วยฟันอันเน่าคลอน
เอามาผูกพระกร เจ้าพี่น้องทั้งสองศรี
กระสันพันให้มั่น เฒ่าอาธรรม์จูงจรลี
จับเอาปลายเรียวรี ตีต้อนไล่ให้เร่งเดิน
ชาลีกัณหาให้ ฟายน้ำตาเมื่อเฒ่าเมิน
น้อยน้อยถอยหลังเดิน ผินชำเลืองดูบิดา
เห็นท้าว ธ นั่งนิ่ง ทำติ่งเฉ้ยไม่นำพา
ทชีตีกัณหา โศกาไห้เรียกชาลี
พี่เอ๋ยจงช่วยน้อง ป้องกันไม้ที่พราหมณ์ตี
จึงเจ้าชาลีพี่ ประคองน้องรองรับเรียว
ชูชกยิ่งเกรี้ยวกราด ตีตวาดไปทีเดียว
อนิจจากัณหาเหลียว หลังรับไม้ต่างพี่ชาย
ชอกช้ำดำย้อยเลือด ไม่แห้งเหือดทั่วทั้งกาย
เพียงชีพจักวอดวาย น่าเสียดายทรามบังอร
ชูชกพาสองเจ้า จ้องไม้เท้าโทงเทงจร
จับวัลลีย์ตีเตือนต้อน สองสายสมรอ่อนทั้งองค์
ถึงที่มิสู้ราบ ทางลื่นปลาบค่อยดำรง
ไม้เท้าเฒ่าจ้องทรง กายตะแกและล้มผลุง
ไม้เท้าย่ามตกพลัด น้ำเต้าฟัดกระทบพุง
ขว้างลาวลงบนถุง ถูกที่ขัดร้องอัดโอย
กลิ้งเกลือกเสือกพลิกไพล่ ลูกใม้โดว่ลีโรย
จากกรเจ้าก็โดย ด่วนวิ่งมายังกุฎี
กราบลงกับบาทมูล ทรงอาดูรไห้โศกี
กายก็รัวกลัวธชี ตามมาจับเอาตัวไป
กราบทูลแต่พระบาท ว่าบิตุราชนี้กระไร
ดูได้ไม่อาลัย ละให้เฒ่าทำโทษา
เมื่อพระแม่มัทรี จักจรลีเข้าไปป่า
จึงพาเอาลูกยา มาทูลฝากกันแสงสั่ง
ควรฤๅพระบิตุเรศ ไม่สังเวชทรงกรุณัง
เหมือนหนึ่งแกล้งชิงชัง มายกให้แก่ตาชี
มิได้งดอยู่ท่า พระแม่มาแต่พงพี
ด้วยว่ากัณหานี้ ไม่ถึงที่จะวายเสวย
น้ำนมพระมารดา โอ้อนิจจาพระคุณเอย
ไม่คิดสงสารเลย แก่ลูกน้อยทั้งสองรา
ถึงพระองค์จะบำเพ็ญ โพธิญาณยอดทานา
ให้ไปเป็นทาสา ขออยู่ท่าแม่มัทรี
แต่พอกัณหาได้ เสวยนมพระชนนี
แล้วตัวข้าชาลี จะได้ลาพระมารดร
ครั้งนี้เป็นที่สุด ปิ่นมงกุฎควรคิดก่อน
ด้วยว่าเฒ่าแสนงอน นี่กระไรใจฉกรรจ์
บุรุษโทษสิบแปดแห่ง แก่ตัวเฒ่าเป็นสำคัญ
ชะรอยว่ากุมภัณฑ์ ผีเปรตแกล้งแปลงเพศมา
ฤๅหนึ่งอสูรกาย เพทุบายเป็นมายา
ขอลูกทั้งสองพา ไปไกลพักตร์หักคอกิน
ลูกเห็นไม่ใช่พราหมณ์ ใจหยาบหยามถ่อยทมิฬ
ผิดมนุษย์ไนแดนดิน หินชาติใช่พราหมณา
ชาลีเมื่อจักทูล บุรุษโทษแก่บิดา
กล่าวเป็นพระคาถา ว่าอะยังพราหมโณ
อันว่าพราหมณ์คนนี้ ทุพลังคปโท
ตีนแบนแอ่นกางโท หดสั้นสิ้นดังตีนเต่า
แข้งคดอยู่แก้งก้อง คดขาน่องรับกับเข่า
สะเอวคดอกเน่า คดกระดนคดต้นคอ
อัทะนักโขเล็บตีนมือ แมลงวันอือสอมเน่าออ
หนังย่อยเป็นปานปร่อ เป็นติ่งตุงอยู่รุงรัง
ทีโคตะโรโถ เปลือกปากบนปกปากต่ำ
เงื้อมง่าเป็นน่าซัง น้ำลายไหลอยู่พรูพราว
ขราโทฟันเน่าคลอน เหม็นเน่าหนองเขียวเขื่อนคาว
ปลายจมูกบิดผิดคราว ดูเหม็นเน่าหายใจดัง
ส่งเสียงดังเสียงตรวน ดังหวอดหวอดแตรฝรั่ง
เมื่อหายใจนั้นดัง เสียงตร่อตรังตร่อดภองลอด
กุมโภทะโรพุ่ง เท้าก็มุ่งยกไม่รอด
พลุ้ยโตตั้งออดออด ทั้งสันหลังผอมโครงแป
วีลำม่จักขุะโก นัยน์ตาโตดังแม้วแห่
หลิ่วเหลือกเลือกออกแล ดังจะเหลือกเลือกวะวาว
ครั้นกริ้วเฒ่านิ่วหน้า ตาดำฝังยังแต่ขาว
ข้างหนึ่งสั้นข้างหนึ่งยาว ช่างขาวต่ำดำลงฝัง
หะริตะเถโส หนวดเคราคางผมรุงรัง
ไว้หัวระรัวดัง กรุ้งกริ้งกรั้งสั่นระรัว
ผมเผ้าเฒ่าหยุกหยิก เป็นลูกพริกรอบริมหัว
กลางเปล่าเหาเห็นตัว คลานเล่นคลำนำฝูงคลอ
วันลีหนังทั้งแถวเอน เห็นรัดรึงอยู่รอยต่อ
ขึงแย่งดังแกล้งฉ่อ เสากระโดงโยงลุดผ็รัง
ติละกาหะโก ขี้แมงวันรายทั่วทั้ง
เท่าลูกมะกอกมะสัง หูหับงับโงกพึงกลัว
อมนุโส รูปผีสาง มารังควานแกล้งแปลงตัว
ขดองค์เข้าพันพัว ไปทุกสัตว์อุบัติบ่อย
ผายลมขมขื่นเน่า ทั้งปากเฒ่าหายใจพลอย
สาบตัวดังงัวปล่อย ขมขื่นเข้าในอังสา
ก็ด้นน้นเล่าหนอ คอเป็นหนอกออกพ้นบ่า
แขนโกกโงกเงกง่า แลแต่นอกศอกเป็นปุ่ม
หัวเข่าเป็นจะโปง เดินหยับโหย่งคุดทะราดรุม
หนังห้อยย้อยตุ่มรุม เท่าลูกมะกรูดมะนาวป่า
วิตะโกกระดูกคอ ตะกระทบเมื่อเดินมา
แม้นไปในมรคา ชนาผาดเห็นตกใจ
ว่าอ้ายผีจกเปรต เศษนรกลูกสงสัย
ขอพระปิ่นภพไตร ทอดเนตรดูพราหมณ์อับเฉา
แม้นว่าไม่ปรานี ข้าชาลีก็ทำเนา
เอ็นดูแก่นงเยาว์ กัณหาน้องยังอ่อนการ
เอาไว้ให้อยู่เพื่อน พระชนนีในไพรสาณฑ์
แต่ตัวเกล้ากระหม่อมฉาน ผู้เดียวนี้ขอลาไป
เป็นทาสเฒ่าโกลำ ตามบุญกรรมจักทำไฉน
จำเป็นก็จำไป ช่วยเพิ่มพูนโพธิญาณ์
ทูลวอนเท่าใดใด บ่ติงไหวพระกายา
มิตรัสจำนรรจา ด้วยลูกน้อยทั้งสองศรี
ชูชกผงกคอ เอะเออออกัณหาหนี
เอาแล้วอะชาลี พากันไปข้างไหนหนอ
จับได้ไม้เท้าง่าม ปลดเปลื้องย่ามออกจากคอ
หายใจหอบแหหอ วิ่งตะเก้ตะกังมา
ไม่ขัดขวางทางพราหมณ์ขู่ หญ้าแหลกลู่ริมมรคา
ฤทธิ์โลโภโมหา พาเฒ่าเพลินให้เดินด่วน
มาถึงอาศรมบถ เฒ่าแข้งคดธชีจวน
กัณหาชาลีครวญ คร่ำร่ำวอนพระบิดา
อุเหม่เจ้าชาลี โว้เว้ดีเจียวสิหว่า
หลบลี้หนีตัวมา ว่าพลางจับผูกจูงไป
สองศรีพระพี่น้อง ร้องกรีดกราดหวาดหวั่นใจ
อัสสุชลนัยน์ไหล เหลียวหลังทูลพระบิตุรงค์
พระคุณทูลกระหม่อมแก้ว ไม่โปรดแล้วฤๅพระองค์
นี่ใดช่างไม่ทรง เมตตาด้วยช่วยห้ามพราหมณ์
นี่แต่ต่อพระพักตร์ ไม่เกรงศักดิ์ทำหยาบหยาม
ไปไกลไหนจะขาม ตามตีต้อนค่อนขืนกาย
ตะละตีโคกระบือ กระนี้ฤๅจะไม่ตาย
คิดไปหน้าใจหาย ฝีมือหวายเฒ่าชรา
ธชีชูชกฟัง วัจนังทูลบิดา
ชาลีนี้หนักหนา คารมดีพิไรวอน
ตะแกยิ่งเกรี้ยวกราด ฟาดด้วยปลายวัลลีย์ต้อน
ฉุดลากกระชากกร บ่นพึมพำนำให้เดิน
ถึงที่มิสู้ราบ เฒ่าใจบาปผ่านมุ่งเมิน
พลาดตีนล้มคว่ำเทิน ทอดกายนอนลืมสมปดี
เครือเถาหลุดจากกร สองสายสมรเจ้าวิ่งหนี
มาถึงคันธกุฎี กราบบาทมูลทูลบิดา
มิทันจะวางคำ เฒ่าโกลำลุกแล่นมา
ถึงเข้ากระชากคร่า ตีต่อหน้าพระที่นั่ง
พลางเฒ่าว่าตัดพ้อ สองน้อยหน่อให้พ่อฟัง
ว่าเอ็งหนีทุกครั้ง ทุกที่ล้มลุยวันรุม
ธรรมเนียมเด็กทั้งเพ ผู้เฒ่าเซเขาช่วยกุม
เห็นล้มก็เข้ารุม ฉุดคร่าขึ้นพ้นภูวดล
นี่กระไรอ้ายชาลี ล้มทุกทีหนีทุกหน
ดูเถิดที่จะทน ฝีมือไม้อมิตดา
ว่าพลางจับจูงกร สองบังอรจรลีลา
ตามแถวแนวมรคา เฒ่าบ่นว่าเพ้อพร่ำไป
สงสารกุมารสองไท กราบทูลทันใด
พ่อเจ้าได้โปรดเกศี
ช่วยบอกแก่พระชนนี อย่าให้โศกี
ถึงลูกทั้งสองซึ่งไป
ด้วยธชีไม้มีโพยภัย แกถนอมรักใคร่
ดังหนึ่งลูกเต้าหลานเหลน
ขอให้พระแม่อยู่เย็น ปราศจากความเข็ญ
ตั้งใจปรนนิบัติบิดร
ว่าลูกทั้งสองบังอร มีกรรมจำจร
จากบาทถวายบังคมลา
ครั้งนี้ก็เมื่อไรหนา จะได้กลับมา
เห็นหน้าบิตุเรศชนนี
ถ้าว่าพระแม่มัทรี ไม่วายโศกี
พระพ่อจงโปรดเกศา
จงเอาเครื่องเล่นลูกยา ให้แก่มารดา
ดูต่างหน้าข้าทั้งสอง
จะได้คลายโศกเศร้าหมอง เหมือนหนึ่งฝ่าละออง
พระบาทช่วยชีพชีวัน
แม่ไว้อย่าให้อาสัญ ได้โปรดดิฉัน
ผู้ลูกทั้งสองเสน่หา
ปางเมื่อนเรศ สมเด็จพระเวส สันดรบิดา
แลเห็นพราหมณ์ตี ชาลีกัณหา ลากลู่สู่พา มิได้เกรงไจ
ความรักสลักจิต โทโสมาติด เตือนขึ้นด้วยไว
ทรงโศกโศกา พระสุชลนาไหล คลั่งเคล้าเนตรใน คือโลหิตัง
โทโสมาถึง ไม่ทันรำพึง ในพระอนิจจัง
ว่าเหม่ชูชก พราหมณ์พาลภิกขัง มาทำโอหัง มิได้เกรงใจ
ตีปลาหน้าซ่อน แกล้งแค้นขืนค่อน ต่อยปลาหน้าไซ
ตีลูกหน้าพ่อ ตัดพ้อพาไป ทำหยาบหยามให้ กูได้อาวรณ์
มันเห็นตกร้าย มาทรมานกาย อยู่ในสิงขร
ทำได้ไม่เกรง ข่มเหงลูกอ่อน สู้ลากชากกร ไม่คิดปรานี
แม้นกูอยู่ป่า ศิลป์ศรศาสตรา กูเอามามี
จักติดตามไป ประหารชีวี แล้วตัดหัวผี ลิ่วลงในเหว
ใครเลยจักรู้ ว่าตัวของกู ฆ่าชีเหลือบเลว
ให้สมน้ำหน้า อวดอ้าใจเร็ว ยกสองใส่สะเอว อุ้มลูกกูมา
ไว้ในกุฎี ท่านางมัทรี กลับมาแต่ป่า
ทาวตรึกแล้วเสร็จ เข้าไนศาลา พระกรขยับคว้า จับเอาพระขรรค์
เดชะบารมี จักเป็นชินศรี สร้างไว้อนันต์
พระโลกอุดร ทั้งเก้าเกิดพลัน ห้ามว่าอย่ากระนั้น เวสสันตโร
ให้บุตรปริจาค ได้ทำมามาก เพรงโพ้นอะโข
จักตรัสเป็นองค์ สรรเพชญพุทโธ เอาแต่โมโห โทโสเป็นพาล
ตามไปฆ่าชี มาคิดกระนี้ เห็นมิเป็นการ
ไหนจักสำเร็จ แก่โพธิญาณ ให้บุตรเป็นทาน ภายหลังฉุกใจ
ท้าวตรัสครหา บริพาสนา ตัดพ้อพระทัย
พระองค์เองให้ ดับโทโสใน กรมลหฤทัย ธิราชออกมา
หน้าคันธกุฎี เยี่ยมบัญชรศรี อรัญญิกา
สมาธิอารมณ์ ในพรหมจรรยา ดังรูปปฏิมา ทองทั้งแท่งหล่อ
ชูชกพาเจ้า สองศรีหนุ่มเหน้า ดรุณน้อยหน่อ
ด้นดั้นธัญเวศ ทุเรศวันพ่อ ลัดเลี้ยวเที่ยวถ่อ กายคมนา
ลากสู่ขู่ตวาด วัลลีย์ไล่ฟาด พี่น้องสองรา
โอ้น่าปรานี ชาลีกัณหา พี่จักอุปมา ให้กัณหาฟัง
ดูก่อนพระน้อง ผูเฒ่ากล่าวพร้อง บรรยายแต่หลัง
ว่าเด็กผู้ใด พ่อตายแม่ยัง เด็กนั้นเสมือนดั่ง ยังพร้อมสบาย
มีแต่บิดา ก็ได้ชื่อว่า กำพร้าสองฝ่าย
เสมือนหนึ่งอกเรา พี่น้องสองสาย ลำบากยากร้าย ได้ความทุกข์ทน
บิดาท่านเฉย น้องกัณหาเอ๋ย น่าที่จะจน
เราจะอยู่ไปไย มาจักวายชนม์ ดีกว่ามาทน วิบากโพยพราหมณ์
จึงนางกัณหา ทูลแต่พี่ยา เป็นระบอบชอบความ
พระพี่เจ้าเอ๋ย แกนี่ใช่พราหมณ์ ผีเปรตแกล้งตาม มาขอเรากิน
เป็นภักษาหาร ถ้าพราหมณาจารย์ ใจดีมีศิล
รู้จักอัชฌา ว่าเด็กยังกิน นมแม่อาจิน ควรคิดปรานี
นี่กระไรร้ายจริง หวดไล่ให้วิ่ง รีบเร่งจรลี
บาทาทั้งสอง พุหนองพองพี จักเต้าตามพี่ มิได้แล้วหนา
พระพี่เจ้าน้อง สุดเร่าร่ำร้อง คอยหามารดา
แต่เช้าเท่าค่ำ ย่ำแสงสุริยา เกือบใกล้ประตูป่า สองราร้องสั่ง
ไพรวัลย์รัญเวส ทุกช่วงของเขต วงกตบรรพตั้ง
สระโบกขรา มหามุจลินทัง ปัญจะทุมัง เคยเสด็จทัดทรง
อีกมีรุกขา เสียดายไม้หว้า ดอกลูกสูงส่ง
ใต้ต้นเตียนสอ้าน ใบก้านกิ่งกง อ่อนน้อมค้อมลง ในโบกขรณี
สมเด็จบิดา ผูกเป็นชิงช้า ไว้ให้เราขี่
กล่าวเพลินเพลงร้อง ช้าน้องช้าพี่ โอ้ว่าครานี้ กี่เมื่อจะมาเห็น
รูปมฤคถึกเถื่อน ละสิ่งเสมือน ประดุจดั่งเป็น
พระพ่อปั้นให้ เล่นหายรำเค็ญ จะไม่ได้เห็น แล้วแก้วพี่อา
ผลพฤกษ์เคยภุญช์ แม่เจ้าพระคุณ เก็บหาบคอนมา
ให้เราทั้งสอง พี่น้องภักษา ตั้งแต่นี้หนา ขาดแล้วสรงเสวย
หนึ่งสัตว์จัตุบส ลิงโลดเลี้ยวลด มหิงสาน่าเชย
ชะรายจามจุรี กินรีรำเพย เพื่อนเล่นเราเอย แต่นี้จะไกลกัน
มยุระปักษา กางปีกหางร่า รำฟ้อนหฤหรรษ์
เราเคยชมเล่น มิเว้นวายวัน หนึ่งราชสุบรรณ เหมหงส์ปักษี
สรรพสัตว์สักคุนัง บรรดาได้ฟัง ซึ่งเราพาที
เรื่องราวกล่าวขอ อันพราหมณ์ทุบตี จะให้เอาคดี ทูลแก่มารดา
เมื่อมิรู้พร้อง อย่าเลยพี่น้อง เราจักวันทา
ประกาศสั่งความ แก่เทพเทวา ให้เอากิจจา บอกพระมารดร
ว่าพลางสองเจ้า ประนอมเกศเกล้า ซบพักตร์กับกร
ถวายต่างธูปเทียน ประทุมเกสร แล้วสองบังอร สุนทรบวงสรวง
ข้าแต่เทพไท อันสิงอยู่ใน แนวเนินทั้งปวง
อากาศยมนา บรรพตาใหญ่หลวง ทั่วทุกกระทรวง เครือหญ้าลดาวัลย์
เถื่อนถ้ำแถวพง ทั้งนี้ย่อมทรง ทิพย์เนตรทิพกรรณ
ขอจงเทพท้าว โปรดเกล้ากระหม่อมฉัน ช่วยบอกความนั้น แก่พระมารดา
ว่าพราหมณัง บุรุษโทษัง พาลูกสองรา
ไปตรงทางนี้ วิบากกายา ให้พระแม่ข้า เร่งติดตามไว
ให้ทันธชี โดยมรคาลี ตลอดปลอดไป
จนกระทั่งมา ประตูป่าไพร พ่อได้เห็นใจ ลูกรักสองรา
โอ้พระชนนี เวลาป่านฉะนี้ มิเห็นตามมา
จนพ้นนิเวศน์ เขตแขวงประตูป่า ไปแล้วแลหนา โอ้น่าใจหาย
ไฉนเลยลูกรัก จะได้พบพักตร์ พระแม่พอคลาย
อาลัยแล้วน้อง กัณหาจะได้ เสวยนมให้หาย หิวโหยโรยแรง
สงสารทรามสวาท เจ้าร้องประกาศ พลางทรงกันแสง
สุดสุรเสียงสั่ง ไนญ่นังนองแดง พระศอแหบแห้ง ร่ำหาชนนี
ทุกเทพเอนเอียง ทิพโสตสดับเสียง พี่น้องสองศรี
ต่างองค์พลอยให้ สังเวชโศกี โอ้น่าปรานี แก่เจ้าทั้งสอง
เทพท้าวทุกองค์ รำพึงตะลึงหลง แลเหลียวเสียวสยอง
ครั้นว่าพราหมณ์ตี สองศรีพี่น้อง เทพเจ้าทุกช่อง หวีดขึ้นพร้อมกัน
ทุกทั่วอกสัตว์ ในพื้นพนัส เนินแนวอารัญ
พลอยให้สงสาร สำเนียงเสียงสั่น ทั่วในไพรวัลย์ เย็นเยียบเงียบเหงา
กุมารบรรพ อาจารย์ประดับ แจงธรรมลำเนา
คาถาร้อยเอ็ด เพราะพร้องเพริศเพรา ทั้งหลายฟังเอา มัทรีต่อไป.